วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ฟ้ากว้าง




เคยบ้างไหม
ที่จะนั่งเฉย ๆ แล้วเงยหน้า
ขึ้นมองฟ้ากว้างสีคราม
มองปุยเมฆสีขาวลอยไป…ลอยมา
มองนกที่บินผ่านไป
มองอะไรต่อมิอะไร…มากมาย
ท้องฟ้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ของคนนั้นสีเทา ๆ เหมือนฝนจะตก
ของคนโน้นสีเหลืองส้ม ๆ แบบยามเย็น
ของคนนี้เป็นสีฟ้าจัดจ้าสดใส
ก็แต่ละคนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าไม่พร้อมกัน
คิดไหมว่า…
การเงยหน้ามองท้องฟ้า
มัน…เหมือนกับการมองชีวิตตนเอง
ท้องฟ้าเป็นสิ่งใกล้ตัว
ไม่มีมันเราก็อยู่ไม่ได้
เหมือนไม่มีชีวิตนั่นแหละ
แต่หลาย ๆ คนมักมองข้ามท้องฟ้า
ไม่สนใจว่ามีอะไรผ่านไปในฟ้ากว้างสี ครามวันนี้บ้าง
วันนี้มีเค้าพายุไหม
หลายคนไม่รู้…รู้อีกทีฝนก็ตกเสียแล้ว
วันนี้เมฆมากไหม
หลายคนไม่รู้…รู้อีกทีก็คือไม่มีแดด
การมองข้ามท้องฟ้า…ก็คล้าย ๆ กับการมองข้ามชีวิตตัวเอง
คิดอย่างนั้นบ้างไหม
หลายคนลืมที่จะกลับมานั่งมองทบทวน
ว่ามีอะไรบ้างผ่านเข้า มาในชีวิตของเราเอง
เวลาที่ผ่านมา…ท้องฟ้าของเราเผชิญมรสุมกี่ครั้ง
แดดออกสดใส…ไร้เมฆกี่ครั้ง
มีสายรุ้งมาแต้มแต่งให้งดงามแล้วอีกครั้ง
หลายคนลืมเงยหน้าขึ้นมอง
มัวแต่ก้มหน้าสำรวจพื้นดิน
ปล่อยให้ท้องฟ้า…อยู่ข้างบนอย่างนั้น
มัวแต่ตัดสินใจ…จะไปทางไหนดี
ตัดสินใจ…โดยเอาใจเป็นใหญ่
ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองแล้วใช้สมองคิด
ว่าวันนี้มีฝนทางซ้าย …ฉันควรไปทางขวา
ว่าวันนี้มีเมฆมากข้างหน้า…ฉันควรรอตรงนี้สักพัก
เชื่อไหมว่า…หลายคนลืมทำแบบที่ฉันว่า
และคนแบบนี้เอง…ที่ลืมทั้งอดีตและอนาคต
พักซะบ้าง …เงยหน้าขึ้นมองสำรวจท้องฟ้า
เห็นอะไรบนนั้น
อย่างน้อยจะได้รู้ว่า
อดีตที่ผ่านมา…ผิดพลั้งแค่ไหน
หรือปัจจุบัน …มีความสุขดีไหม
ควรหยุดอยู่ตรงนี้หรือก้าวไปข้างหน้า
มองท้องฟ้า …อ่านชีวิตตัวเองให้ออก
อย่าพยายามควบคุม…แต่ก็อย่าละเลยไม่สนใจ
…วันนี้ท้องฟ้าของเธอสวยไหม…คนดี…

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันว่าง





ใจหลุดลอยหวังคอยหยุดที่สุดสาย

มิอาจหมายห้ามสายใจอย่าไกลห่าง

แม้นไร้ทิศไร้สิทธิ์ลิขิตทาง

แต่ก็วาง....เขตหัวใจ....ให้รู้แดน

...
...


ความสุขง่าย ๆ กับวันว่างที่เหลืออยู่

คือการชงน้ำแดงโซดาเย็นเจี๊ยบซักแก้ว

แล้วมานั่งเปิดบล็อกอ่านเรื่องราวความเป็นไปของผองเพื่อน

ต่อจากนั้นก็เข้าเว็ปเกี่ยวกับพัฒนาการความคิดเด็กปฐมวัย

ซึ่งอย่างหลังนี่ ดึงความสนใจเราให้จมอยู่ได้นานเป็นหลายชั่วโมง

จนบางทีเจ้าตัวเล็กต้องวิ่งมาชะโงกดูบ่อย ๆ

ว่าเรานั่งจุ้มปุ๊กทำอะไรอยู่นานนักหนา

เพราะเค้าหาคนเล่นต่อภาพ ต่อคำ ที่ถูกใจไม่ได้นั่นเอง

เรามองเค้าเตรียมบัตรคำ เห็นดวงตาแป๋ว ๆ ระยิบระยับอย่างรอคอย

"ยังไม่ว่างเลยอ่ะ รอก่อนได้ป่ะ"

ลองต่อลองดูหน่อย เพราะยังรู้สึกสนุกกับการอ่านสาระดี ๆ อยู่เลย

ดวงตาแป๋ว ๆ หมองไปนิด แต่ครู่เดียวก็พยักหน้าหงึกงักจำยอม

เราแกล้งหันความสนใจกลับมาที่หน้าคอมตามเดิม

แอบดูว่า พ่อตัวดีจะทำอะไรต่อไป

อืม...เดินไปหยิบสีน้ำมาเตรียมไว้เลย สมุดระบายภาพเล่มใหญ่

เค้าเป็นเด็กชอบระบายสีมาก ๆ รายนี้ ไม่ว่าจะสีน้ำ สีไม้ สีเทียน

ล้วนโปรดปรานทุกประเภท สมุดระบายสีแม็คควีนของวอลดิสนีย์

คือเล่มสุดโปรดของเค้า แต่ทุกอย่างจะเริ่มก็ต่อเมื่อมีเรา

...

...

เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ทำให้หัวใจเรากระชุ่มกระชวยจริง ๆ

มันรู้สึกดี ที่รู้ว่า...มีใครสักคนต้องการเรา และใครก็แทนไม่ได้

ต้องเป็นเราคนเดียวเท่านั้น มันอุ่นหัวใจวาบ ๆ ดีอยู่น้อยเสียเมื่อไหร่

ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเรา ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย

ไม่มีสายใย ไม่มีสายเลือดความสัมพันธ์ ไม่มีสิ่งใด

นอกจากความผูกพัน ที่เรามีให้ต่อกัน พัฒนาไปตามกลไกของกาลเวลา

มันทำให้เรารู้สึกภูมิใจ เหมือนกำลังปลูกต้นไม้สักต้น

เริ่มตั้งแต่เพาะเมล็ด พรวนดิน ดูแล...จนค่อย ๆ แตกออกมาเป็นต้นอ่อน

...
...

ชีวิตเงียบ ๆ สงบ ๆ ที่วันหนึ่ง ๆ ทำแต่งาน ๆ ๆ หาแต่เงิน ๆ ๆ

เพื่อสร้างไอ้นั่น ไอ้นี่...ค่อยเริ่มมีสีสัน

จากเดินห้างดูเสื้อผ้า DVD CD เพลง

กลายเป็นเดินเข้าร้านหนังสือ ตรงดิ่งไปที่มุมพัฒนาการเด็ก

บ้านช่องก็มีแต่ของเล่น อุลตร้าแมน มดเอ็กซ์ รถของเล่นสารพัดรูปแบบ

เครื่องออกกำลังกายพวกดัมเบล พวกนวมสำหรับชกมวย

เคยทำกับข้าวกิน ก็เปลี่ยนมาเข้าพิซซ่ามั่ง KFC มั่ง MK มั่ง

ก็รู้ว่าไม่ค่อยมีสารอาหารอะไร แต่หัวใจนำทางซะแล้วน่ะ

พอเจ้าตาแป๋วมายุ มาเชียร์ ก็พากันไป

ลูกก็ไม่ใช่ลูกนะเนี่ย...แต่ก็รักจะตายล่ะ

แต่ถึงจะรักตายยังไง ก็ไม่เคยคิดแม้แต่แว่บเดียวว่าอยากให้เป็นลูก

มีความรู้สึกว่าไม่อยากจะมีหรอก ไม่อยากรับภาระเต็ม ๆ

อยากเป็นแบบนี้แหละ แค่คนช่วยดูแลก็สุขถมไปแล้ว

ขืนมีลูกขึ้นมาจริง ๆ ความสงบสุขคงจะหายไปจากชีวิตยิ่งกว่านี้

ที่สำคัญมีคนสัญญาว่าจะให้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์แล้วน่ะสิ

เราอมยิ้มกับคำพูดเจ้าตาแป๋ว เด็กแค่ 4 ขวบเอง

พูดเสียชื่นใจ หรือจะติดนิยาย "ชิงชัง" มากเกินไปใน

ช่วงนี้ตัวละครที่เป็นหลานกำลังบวชทดแทนพระคุณให้ยายอยู่

เลยอินก็ไม่รู้ แต่ยังก็สุขใจอยู่ดีล่ะนะ

ชีวิตคนเรา...แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว


บันทึกไว้ ณ บ่ายวันอังคาร

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ในเหตุผลคือความว่างเปล่าไร้ซึ่งเหตุผล






If you always do what interests you,


then at least one person is ploased.


...

...


บางครั้งมันก็เป็นการยาก ที่เราจะต้องทำใจ


ให้เข้าใจกับเหตุผลของใครบางคน


ทั้งที่ถ้านั่นเป็นเหตุผลของเรา...เรามักคิดว่ามันดูเพอร์เฟ็ค


ทั้งที่ความจริง มันอาจดูเป็นเหตุผลงี่เง่าในความรู้สึกคนอื่น


แต่ตัวเรา...ก็มักคิดไปว่ามันเข้าท่าเสมอ


ดูมีสาระ เป็นเหตุเป็นผล ที่สำคัญ...ถูกต้องและน่าจะดีที่สุดแล้ว


ดังนั้น...ถ้าคนเราจะรับฟังเหตุผลของคนอื่น


ด้วยความรู้สึกเหมือนกับที่เชื่อในเหตุผลของตัวเองบ้าง


ก็คงจะดีไม่น้อย


เหมือนคนเราคบหากัน ช่วงแรกก็ถูกอกถูกใจ


คุยอะไรก็ถูกคอ อย่าไปหาเหตุผลเลยว่าทำไม


ก็มันถูกใจซะอย่าง ประมาณว่าถูกชะตา คบหาแล้วสุขใจ


แต่เมื่อเวลาผ่านไป...


คนสองคนเริ่มรู้จักกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น


เหตุผลต่าง ๆ ก็เริ่มมีบทบาทตามมามากมาย


ทำไมไม่เป็นอย่างนี้นะ อย่างนั้นนะ


ทำไมนิสัยอย่างนี้ล่ะ น่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่า


ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง


จนวันหนึ่งการคบหามาถึงจุดแห่งความขัดแย้ง


ไอ้เจ้าเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงดูจะมีบทบาทชัดเจนขึ้น


เพราะอย่างนี้ อย่างนั้น ไอ้นั่น ไอ้นี่


ทำให้คนเราเกิดทิฐิ เกินกว่าที่จะละวาง


แล้วกลับมาคบหากันดังเดิมได้


...


...


ส่วนตัวเราคิดว่า ระหว่างคนสองคนที่คบหากัน


ไม่มีใครถูกหรือว่าผิด เพราะคนเราเติบโตมาบน


พื้นฐานที่แตกต่าง ประสบการณ์ที่แตกต่าง


นั่นย่อมทำให้วิธีการคิดแตกต่างกันตามไปด้วย


ต่างคนต่างมีความเชื่อ มีมุมมอง มีความต้องการที่ต่างกันไป


และรวมถึงเลือกวิธีการจัดการยุติเรื่องราวปัญหาลงด้วย


ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครมองมุมไหน ยังไง


ใครถูก ใครผิด แต่มันสำคัญที่ว่า...มิตรภาพที่คบหากันมา


มันมีค่าพอไหม มีค่าพอเกินกว่าที่คนสองคน


จะหันมาปรับความเข้าใจกัน และฟังเหตุผลซึ่งกันและกันได้ไหม


บางคนหันหลังให้กัน...ทั้งที่ยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลย


นอกจากปล่อยให้ความคิดโบงการจับจูงหัวใจไป


เพราะอีกฝ่ายคิดว่าไม่แคร์ ใครอยากคิดอะไรก็ช่าง


ในขณะที่อีกฝ่ายอาจจะแคร์ แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะวิ่งตามหาความเข้าใจ


คนสองคนจึงเดินจากกันไป...อย่างน่าเสียดาย





บันทึกไว้ ณ บ่ายวันพุธที่อบอ้าว























































































































































































































































วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ช่วงเวลาที่ดี...แม้นไม่ถึงกับดีที่สุด







บ่ายวันอังคารที่ฝนพรำ

เรานั่งเปิดเว็บเพจดูไปเรื่อยเปื่อย

วันนี้เป็นวันพักผ่อนสบาย ๆ อีกวัน

เป็นอีกวันที่มีเวลาสำหรับตัวเอง

มีเวลาที่จะหยุดมองชีวิตคนอื่น ๆ

หยุดแอบวิพากย์วิจารณ์คนอื่นในใจ

วางความรู้สึกพวกนั้นไว้เสียได้

แล้วหันมาสำรวจตรวจตราชีวิตตัวเองบ้าง

สิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราเป็น เรามีความสุขดีอยู่หรือ

ในวันที่ผ่าน ๆ มา ... มีอะไรที่ต้องปรับเปลี่ยน

ต้องปรุงใหม่ ต้องจัดให้เป็นระเบียบอีกรึเปล่า

เหมือนจะมีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่มากมายอะไร

เพราะปกติก็เป็นคนจัดระเบียบชีวิตให้เข้าที่เข้าทางอยู่แล้ว

ทุกวันนี้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข กับงานที่ชอบ

กับคนที่ต้องรับผิดชอบดูแลเลี้ยงดูเขาให้มีอนาคตที่ดี

ที่สำคัญ...ได้ใช้ชีวิตในวิถีที่ตัวเราเป็นคนเลือกเอง

อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากไปไหนก็ได้ไป

อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากเมาก็ได้เมา

โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่า "ใครสักคนจะพอใจรึเปล่า"

นั่นถือว่าเป็นความสุขในระดับหนึ่งที่น่าพอใจสำหรับเรา

เหมือนวันนี้...ชีวิตได้ปลดล็อกได้สำเร็จเสียที

ต่างจากเมื่อวันที่ผ่าน ๆ มา

เราคล้ายคนพายเรือที่โง่งม

คิดอยากโล้พายแหวกสายน้ำนำเรือไปให้ไกล

สู่เวิ้งน้ำที่มันกว้างไกลสุดตา

ออกแรงพายเต็มที่ จ้ำพายลงน้ำไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง

แต่เรือยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้เคลื่อนไปไหน

ทำไมน่ะหรือ...ก็เราลืมปลดเชือกเรือน่ะสิ

เรือจึงจอดนิ่งอยู่กับท่าเช่นนั้น

นั่นเป็นประสบการณ์ที่ดี

ทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นมาว่า

หากวันนี้ ก่อนออกแรงพายเต็มที่กับชีวิต

ต้องไม่ลืมตรวจดูว่า ชีวิตเราลืมปลดล็อกรึเปล่า

บางทีข้างในกรงขังกับคำว่าอิสระเสรีภายนอก

มันก็ถูกกั้นเพียงเส้นบาง ๆ ของความรู้สึกเท่านั้นเอง



บันทึกไว้ ณ บ่ายวันอังคาร