วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เช้าวันใหม่...แล้วล่ะหรือ ?

วันหยุดวันที่สองของฉันหมดลงไปแล้วอย่างรวดเร็ว

และกำลังเริ่มต้นเข้าสู่วันที่สามไปทุกขณะ

ฉันยังนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิม...

คือหน้าคอม

ฉันไม่ได้นั่งเล่นบล็อกยืดเยื้อไม่รู้จักหลับจากนอนหรอกนะ

เพียงก็แค่เปิดเจ้าคอมไว้เป็นเพื่อน

ส่วนตัวเองก็ยกขาพาด cpu แก้เมื่อย

แล้วก็นั่งอ่านหนังสือจนเวลาล่วงเลยมาป่านนี้

จำได้ว่า...ฉันเคยบอกเล่าไว้ที่ไหนสักแห่ง

ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือ

เวลาไปไหนมาไหน ฉันมักต้องมีหนังสือหนีบติดมือไปด้วยทุกครั้ง

ขนาดว่ารอเด็กปั๊มเติมน้ำมัน ฉันก็ยังงัดวรรณกรรมอะไรมาอ่านได้

นิด ๆ หน่อย ๆ ฉันก็เอา...ความที่ฉันเป็นคนขี้เบื่อ

นั่งกลอกตาไปมาโดยไม่มีอะไรทำ...คงไม่ใช่ฉันแน่





บางส่วนของหนังสือบอกไว้ว่า...

ต่อให้สูญเสียทุกอย่างไปจนหมด

เราก็ยังใช้ชีวิตอยู่ได้

และพร้อมเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

แต่ถ้าความศรัทธาหายไป

ทุกอย่างจะถึงทางตันทันที

การดึงความรักความศรัทธา

กลับมาจากคนรอบข้าง ถึงจะทำได้ยาก

แต่ก็ยังไม่ยากเท่ากับการดึงศรัทธาที่หายไปของตัวเอง

ให้คืนกลับมา

...
...


ฉันไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด

แต่ก็ไม่ขอคอมเมนท์บางส่วนในความรู้สึกฉันลงไว้ ณ ที่นี่

...
...

หนังสือยังคงกล่าวอีกว่า

เมื่อไหร่ที่คนเราหมดศรัทธาตัวเอง

เรามักจะมองตัวเองไร้ค่าในเวลาที่ล้มเหลว

พอเห็นว่าตัวเองไม่มีค่าแล้ว

ก็หมดกำลังใจที่จะเริ่มต้นใหม่

เพราะคนที่ไม่ศรัทธาแม้แต่ตัวเอง

ก้ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก

คนที่หมดลมหายใจแล้ว

...
...

เหตุผลของการไม่มีคอมเมนท์เป็นตัวอักษร

เพราะฉันติดตามงานเขียนแนว ๆ นี้จากหลาย ๆ ผู้แต่ง

ฉันไม่แน่ใจว่าทุกคนผ่านประสบการณ์มาหมด

แล้วเอามาเขียน หรือเขียนเพราะเขาเป็นมืออาชีพที่จะเขียน

...
...

แต่สำหรับฉัน คนที่เคยผ่านปัญหาชีวิตครอบครัวมาในระดับหนึ่ง

วิธีการแก้ช่างต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง

บางที...ถ้าคนเขียนได้ลงไปอยู่ในปัญหา

คุณอาจพบว่าสิ่งที่คุณเขียน มันเยียวยาอะไรไม่ได้เลย

วินาทีนั้น...คุณอาจสะกดคำว่าศรัทธาไม่ออกด้วยซ้ำไป

ฉันว่ามีสิ่งหนึ่งที่ฉุดสติคนเรากลับมาได้

เฮ้อ!...

นี่ฉันคงอินกับสิ่งที่อ่านมากเกินไปอีกแล้ว

ราตรีนี้น่าจะปิดฉากลงซักที

ฝันดีนะเพื่อนที่ฉันรู้จักทุกคน

โดยเฉพาะคุณ...ขอให้ฝันดีกว่าใคร ๆ



โดย....เรา

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ใต้ฟ้ากว้าง...ในวันฝนตก




วันนี้ฉันไปถึงร้านค่อนข้างสาย

ทำให้อะไร ๆ ก็สายไปหมด

ตั้งแต่เตรียมของ จัดร้าน ไปจนกระทั่งเริ่มต้นขาย

เพราะวันนี้เป็นวันที่ฟ้าสีครึ้ม

ลูกค้าที่สัญจรไปมาก็ห่วงแต่จะกลับบ้าน

เพราะกลัวไม่ทันฝน

ฉันนั่งมองความเร่งรีบของผู้คน...ที่โดดขึ้นลงรถทัวร์เป็นว่าเล่น

แล้วพากันซอยเท้าเร็ว ๆ ไปที่คิวรถสองแถว

เพื่อต่อรถไปยังที่หมายของพวกเขา

ฉันมองเลยไปยังเวิ้งฟ้า

อดถอนใจไม่ได้...

ฝนตกแบบนี้ ข้าวของคงขายกันไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่

แต่แล้วที่เวิ้งฟ้ากว้างก็มีภาพที่พอจะทำให้ฉันอมยิ้มได้




ฉันเห็นเค้า...เสียดายที่ไม่มีกล้องติดไปเลย

เอาน่ะ...ฉันยังเหลือ N 70 ที่พอแก้ขัดได้อีกเครื่อง

แล้วฉันก็ได้รูปเค้าสมใจในความสลัวลาง

นานแล้วที่ไม่ได้เห็นจะ ๆ

เก็บรูปไว้เป็นที่ระลึกได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว

...
...

เจ้าลูกชายตัวเล็กของฉันหลับใหลไปเพราะพิษไข้

ถ้าเค้าตื่น...เราสองคนคงช่วยกันตื่นเต้นเสียงขรม

เพราะน้องตะวันเคยเรียกเรนโบว์...เรนโบว์...แต่ในรูปภาพ

ปรากฎการณ์บนท้องฟ้าแบบนี้ เขายังไม่เคยเห็นซักที

...
...


ฉันนั่งเก็บรูปเค้าได้ไม่นานเค้าก็จางหายไป

เมื่อแดดสุดท้ายลับลาจากโค้งฟ้า

ความมืดครึ้มเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่

ตลาดโต้รุ่งยามพระอาทิตย์ตกดินเงียบผิดหูผิดตา



ฉันไม่เคยเก็บภาพสถานที่แห่งนี้ไว้เลย

แม้ฉันจะดำเนินชีวิตเรียบเรื่อยอยู่ ณ. ที่นี่เนิ่นนาน

อาจเพราะข่าวที่ได้ยินได้ฟังมาก็ได้ ว่าอีกไม่นาน

กรมทางจะมายึดพื้นที่นี้คืน ตลาดก็ต้องมีการขยับขยายไปสู่ที่ใหม่

มันทำให้มือฉันคลิก ๆ ๆ ๆ ๆ เก็บภาพไปเรื่อยเปื่อย

ไม่มีความรู้สึกอะไรมากนักกับสถานที่แห่งนี้

หรือแม้แต่จังหวัดนี้ที่ฉันดั้นด้นอยู่มาเกือบสิบปี

อาจจะประสบการณ์ชีวิตที่นี่ ทำให้ภาพรอบ ๆ ตัว

ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไรน่าจดจำก็เป็นได้

ฉันเองก็สรุปไม่ได้เหมือนกัน



บันทึกไว้เป็นความทรงจำ
โดย...naitontan



วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บ่ายวันอังคาร











เมื่อยามสาย...เราได้ภาพนี้มาเพราะความเหงา

ตอนที่เอาเจ้าต้นนี้มาปลูกที่ริมระเบียงหน้าบ้าน

ไม่เคยจะรู้มาก่อน ว่าเค้ามีความเป็นมายังไง

ก็แค่รู้จักเค้าว่า "โมก"

ตอนนั้นมัวแต่เห่อเหิมกับการจัดสวนหน้าบ้าน

ไปเดินท่อม ๆ ดูต้นไม้ใบหญ้าอะไรสวย ก็ขนซื้อมาปลูก

เป็นคนไม่ค่อยชอบปลูก แต่ถ้าได้ลงมือปลูก

ก็นิสัยเสียอยากเห็นมันออกดอกออกผลให้ชื่นใจ

เลยต้องมานั่งศึกษา

เลยต้องมาทำความรู้จัก

เลยต้องมารู้ความเป็นมาของเค้า

เพราะนั่น...จะทำให้เราดูแลเค้าได้ถูกวิธี

เค้าทำให้เรารู้ว่า...

บางคนก็เรียกเค้าว่า "พุทธรักษา"

เพราะว่า คนโบราณเชื่อกันว่า

ต้นโมกนั้น สามารถปกป้องคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของ

ให้ปลอดภัยจากศัตรู หรือสิ่งชั่วร้าย

เราทำความรู้จักเค้าจนรู้ว่า

โมก หรือ โมกข หมายถึง ผู้ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

ดังนั้น คนโบราณจึงเชื่อว่า หากปลูกต้นโมกเอาไว้ภายในบ้าน

ก็จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์สะอาด มีแต่ความสุขกายสุขใจ

ปลอดภัย และรอดพ้นจากสิ่งอันจะนำความทุกข์ร้อนมาสู่คนในครอบครัว

...
...


เค้าว่าการจะปลูกโมกนั้น

ควรลงมือปลูกต้นโมกในวันเสาร์ เพราะคนโบราณเชื่อว่า

ต้นไม้ที่ปลูกเพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคลให้แก่บ้าน

ควรจะปลูกในวันเสาร์ ต้นไม้จึงจะเจริญงอกงาม

และมีอิทธิฤทธิ์ตามคุณของไม้

ซึ่งจะช่วยปกป้องคุ้มครองคุณและครอบครัวได้

หากต้องการปลูกต้นโมก

เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองบ้านเรือน และคนในครอบครัว

คุณควรจะปลูกต้นโมก ไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จึงจะเหมาะ

...
...

แต่เราก็ไม่ได้ปฏิบัติตามที่เค้าว่าหรอกนะ

อาจจะเพราะความดื้อ ดันทุรัง หรือขี้เกียจก็ว่ากันไป

ซื้อมาก็เล็งล่ะ ตรงนี้ ตรงนั้น ตามใจฉันนั่นประไร

จนวันนี้ก็ 4 ปีแล้ว ที่เรามีโมกหอม ๆ ไว้ดอมดม

มีดอกเล็ก ๆ สีขาวนวลให้ชื่นชมในวันที่เหงา ๆ

ก็เหมือนวันนี้...

ในราวบ่ายฝนปรอยลงมาบางเบา

และเราฝังตัวอยู่ที่ริมระเบียง นั่งมองหยดน้ำใส ๆ บนใบโมก

ภาพธรรมชาติ ที่ไม่มีอะไร...แต่ก็งดงามยามที่ได้มอง



โดย...เรา คนขี้เหงา


วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ย่ำเดินไป..ตามแต่ใจ


หลายวันมาแล้ว...
กับการที่เราจมตัวเองอยู่กับอารมณ์ชนิดหนึ่ง
เหมือนยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
เหมือนยังไม่รู้จะทำตัวแบบไหน วางตัวยังไง
เหมือนไม่เข้าใจว่าที่ตัวเองกำลังรู้สึก คือถูกหรือคือผิด
เหมือนไม่เข้าใจความคิดตัวเอง ว่าคิดแบบนั้นแบบนี้เพราะอะไร
จนมาวันนี้...
ไม่ได้มีอะไรคลี่คลายให้รู้สึกโล่งแต่ประการใด
แต่ก็คล้าย ๆ จะหาทางออกให้ตัวเองได้แล้ว
ดังนั้นเราจึงบอกตัวเองว่า
อย่าแบกปัญหาไร้สาระที่เปรียบเสมือนสิ่งโน้มถ่วงความสุขอยู่เลย
มิต้องหาคำตอบใด
มิต้องใส่ใจใคร่รู้ ว่าต้องทำต้วแบบไหน
มิต้องวิตกจริตคิดอะไรให้มันเคร่งเครียด
เป็นตัวของเราเอง แบบที่เราเคยเป็นนั้น ดีที่สุดแล้ว
ความสุขมันก็คงบังเกิดขึ้นเอง เหมือนที่เคยเป็นมา
อย่าไปยึดติดอะไร
แล้วพยายามจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้สมดุลกับสิ่งไหน ใคร หรืออะไร
เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา แต่จงเป็นตัวเรา
และอะไรที่ใช่ เมื่อ ณ วันหนึ่งโคจรผ่านชีวิตเราเข้ามา
มันก็จะเกิดความสมดุลขึ้นมาเอง มันคงคลิกกันได้เอง
เมื่อหาบทสรุปให้ตัวเองได้แล้ว
เราก็กลับมามีชีวิตที่เป็นปกติอีกครั้ง
คุณเพื่อนร่วมบ้านยังถึงกับขมวดคิ้ว เอามือลูบคาง พลางถาม
"ผีออกแล้วรึวะแก"
เราพยักหน้างึกงัก ทำปากยื่น ๆ แถมยักคิ้วแบบกวน ๆ ให้คนถาม
"ฉันว่าแกเลิกเล่นเสียทีเถอะไอ้เน็ต เนิต อะไรเนี่ย"
"ทำไมอ่า"
"เดี๋ยวดีเดี๋ยวบ้าน่ะสิ อินซะเหลือเกิน ขี้เกียจมีเพื่อนเป็นคนบ้า"
เราทำหน้าปั้นยาก กับคำตอบนั้น
เฮ้อ!
ฉันเอง...