วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

วิถีทางที่ต่างเลือกเดิน...







วันนี้เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวตุ๊บ ๆ

สาเหตุก็ไม่ใช่อะไร เมื่อคืนฝนตกกระหน่ำหนัก

กำลังขายของก็เป็นอันต้องเลิกไปโดยปริยาย

แล้วก็วิ่งวุ่นอยู่กับการเก็บข้าวของ ตากฝนชุ่มฉ่ำสนุกสนาน

มือซ้ายจับร่ม มือขวาจับผ้าใบ วุ่นวายเป็นที่สุด

แต่ในความวุ่นวาย...มันก็ผสม ๆ กับความสนุกสนาน

เพราะจุดที่ขายเป็นบริเวณใต้หอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย

มีน้อง ๆ นักศึกษาที่ซี้ปึ้กกันอยู่หลายคน

มาช่วยกันคนละไม้คนละมือก็สนุกดี

อาชีพแม้ค้าทำให้สบโอกาสได้เล่นน้ำฝนเป็นประจำ

ทั้ง ๆ ที่ในวัยเด็ก ยามเห็นฝนพรำสายแบบนี้

มักถูกผู้หลักผู้ใหญ่ไล่ให้เข้าบ้านเสียงขรม เพราะกลัวจะไม่สบาย

แต่ตอนนี้โตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงได้มีโอกาสสัมผัสฝนได้ตามอำเภอใจ

เราชอบชีวิตตอนนี้จัง...ได้อยู่แวดล้อมไปด้วยเด็ก ๆ วัยรุ่น

คล้าย ๆ เหมือนจะย้อนกลับไปในวัยนั้นอีกครั้ง

เพราะการพูดจา เดาใจ หรืออ่านเกมส์...ต้องมีไหวพริบพอดู

ก็เด็กสมัยนี้เค้าเก่ง ริจะเป็นแม่ค้าก็ต้องทันเกมส์เด็กหน่อย

ทำให้รู้สึกชีวิตมีสีสันดี วันหนึ่ง ๆ มีเรื่องให้ได้ฮาไม่เว้นแต่ละวัน

บางวันขายเสร็จก็กอดเอวกันไปดริ๊งเหล้าปั่นต่อ

เที่ยงคืนโน่นล่ะ...กว่าจะแยกย้าย

เหมือนเมื่อวานที่มีภาพน่ารัก ๆ ตอนน้อง ๆ ช่วยเก็บร้านหนีฝน

เราขับรถกระบะมาเทียบฟุตบาท น้องสองสามคนช่วยกันขนของ

ขึ้นรถ แต่มีอยู่คนหนึ่งอุ้มครกไว้แนบอก แล้วอีกมือก็กำซาก

เค้าร้องเพลงพื้นบ้านอะไรก็ไม่รู้ เราฟังไม่ค่อยถนัด

แล้วก็ทำท่ายกสากตำใส่ครก ถอยหน้าถอยหลัง

เรียกเสียงฮาจากคนแถวนั้นได้ครื้นใหญ่

พี่ร้านกาแฟเลยตะโกนร้องเพลงคาราบาวแข่งกับสายฝนด้วยอีกคน

เราลงมายืนกอดอกพิงรถ...รู้สึกว่ายังไม่อยากจะรีบกลับเลย

ยังอยากจะมองภาพสนุก ๆ แบบนั้นต่ออีกหน่อย

เพราะพอสามีพี่คนที่ขายกาแฟร้องเพลง

ภรรยาเค้าก็เอากระบวยตักน้ำร้อนมาเป็นไมค์ แล้วร้องคอรัสให้

เราขำก๊ากแบบไม่ต้องเก็บอาการเลยทีนี้ เลยไปช่วยชูมือขวา

ร่วมอีกคน เด็ก ๆ สนุกกันใหญ่ภายใต้สายฝน

คนที่ขับรถผ่านไปมา แต่งตัวเป็นผู้ดิบผู้ดีคงจะนึกหมิ่นอยู่ในใจ

แต่เขาคงไม่รู้หรอก นี่แหละความสุขที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ

ที่สำคัญเขาคงไม่รู้หรอก ว่าคนขายกาแฟน่ะ...จบโทวิศวะ

ตอนกลางวันทำงานที่บริษัทต่อเรือ เงินเดือนตั้งสี่ห้าหมื่น

ภรรยาเป็นนักเขียนอิสระประจำนิตยสารฉบับหนึ่ง

และอีกหลาย ๆ ร้าน ที่กลางวันทำงานบริษัท

แล้วมาหาจ๊อบพิเศษเอาตอนเย็นเป็นรายได้เสริม

แถมเป็นรายได้เสริมที่เป็นกอบเป็นกำยิ่งกว่าเงินประจำเสียอีก

มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิด

ที่แม้นจะร่ำเรียนจบมาสูง แต่เลือกที่จะเป็นนายตัวเอง

ไม่ต้องไปอยู่ใต้บังคับบัญชาใคร

แต่หัวใจคนเรา...มันจะเอาอะไรแน่ได้นักเล่า

บางวันไปเจอเพื่อนทำงานแต่งตัวสวยเช้ง

หัวใจก็นึกกระหวัดโหยหาการงานที่มันโก้หรู

แต่บางวันขายดิบขายดี เห็นเงินเป็นฟ่อน ๆ ก็เปลี่ยนใจอีกล่ะ

ไปเป็นลูกน้องใครทำไมให้เหนื่อย เป็นงี้ก็ดีจะแย่แล้ว

คนเรา...เรียนจบสูง ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตตามสูตรเสมอไป

ซิกแซกบ้างก็ได้ มันก็ใช่ว่าจะไม่ได้ดีนี่นา

เราบอกตัวเองแบบนั้น ขอแค่ทำดี คิดแต่สิ่งดี ๆ และก็เป็นคนดี

ทำอะไรที่ใจเรารัก และอย่าไปเผลอทำให้ใครเค้าเดือดร้อน

ศีล 5 รักษาให้ได้ มีอัฐมากหน่อยก็ทำบุญทำทานบ้าง

ก็แค่นี้และความสุขในชีวิต จะอะไรนักหนาน๊อ

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

รุ่มร้อนทำไมให้หัวใจระคายเคือง



บางครั้ง...การเป็นคนที่ถูกบอกรัก ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเสมอไป

แม้นจะในยามที่หัวใจรู้สึกว่าแล้นแค้น..โหยหาสักเพียงไหน

ใครหลายคนมักพูดว่าคนเราไม่ควรจะไปคาดหวังอะไรมากมาย

แต่ตอนนี้ ฉันกลับรู้สึกว่ากำลังคาดหวังอย่างเหลือเกิน

หวังที่จะให้ทุกอย่างเป็นเพียงการไหลเวียนใต้น้ำเท่านั้น

ไม่ได้มีแรงกดใด ๆ ก่อตัวให้ก่อเกิดเป็นคลื่นใต้น้ำขึ้นมาได้

เพราะกลัวน่ะสิ...

ว่าคลื่นอาจจะมีอนุภาพมหาศาล ที่จะทำลาย

กำแพงแห่งมิตรภาพให้พังคลืนในพริบตา

แม้นจะลงหลักปักเสาไว้มั่นคงแค่ไหน

แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอนอยู่ดี

ทำไมนะ...คนเราจะอิงแอบกัน

แค่ให้หัวใจอุ่นเฉย ๆ ไม่ได้เชียวหรือ

โดยไม่ต้องเกินเลยไปจนเกิดวิกฤตแห่งความรุ่มร้อน

หรือเพราะหัวใจคน เป็นอะไรที่ควบคุมยากที่สุดในโลก

ยิ่งกว่ารถยนต์ เครื่องบิน จรวดมิดไซต์ ไปจนถึงขีปนาวุธร้ายแรงก็เถอะ

เธอบอกว่า...ฉันน่ะ ชอบคิดอะไรที่ลึกลับซับซ้อน

อืม...ก็ใช่

ทำไมไม่ทำตัวสบาย ๆ ล่ะ ปล่อยหัวใจไปตามที่รู้สึก...เธอว่า

ทำได้ด้วยเหรอ...แล้วต้องปล่อยตัวด้วยมั้ย ฉันเถียงอยู่ในใจ

ขนาดควบคุมใจตัวเองได้ยังขนาดนี้

แล้วหากคุมไม่ได้จะขนาดไหน ... ยิ่งเธอบอกความในใจสั้น ๆ มาว่า

"ฉันรักแกว่ะ"

โอ้...พระเจ้า...ขนแขนฉันลุกเกรียวเลยเชียวล่ะ

ฉันจะนึกว่าเธอละเมอว่ะเพื่อน

ส่วนเธอ...ให้รีบไล่ผีตัวที่สิงปากให้พูดออกจากตัวเร็ว ๆ

อย่าให้ฉันต้องควง "ไม้คมแฝก" ไปแพ่นกบาลเพื่อนตัวเองเลย

(อดพาดพิงนิยายช่อง 7 ที่ชอบไม่ได้ เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก)

เธอก็นะปากไว..รีบสวนมาเชียว

ผีที่ไหน...ไม่มี จะมีก็แต่กามเทพน่ะ

โห...นี่ถ้าฉันอายุ 18 นะ...ฉันคงไม่รอดมือเธอแน่

แต่ประทานโทษ ฉันเพิ่งจะ 38 ไปเมื่อวาน ไอ้เพื่อนบร้าห้าหกร้อยเอ๊ย

เธอเกลื่อนเรื่องราวด้วยเสียงหัวเราะตามเคย ก่อนจะว่า

ไม่ได้บร้าห้าหกร้อย นี่แค่ร้อยเดียวนะเนี่ย

ถ้าห้าหกร้อยเธอเสร็จฉันแน่

จบคำเธอ...เราสองคนก็หัวเราะกันครืน

เธอก็ยังคือเธอคนเดิมวันยังค่ำ

และฉันก็ยังยึดมั่นจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

แล้วเราทำไมต้องทำความรุ่มร้อนให้หัวใจระคายเคืองด้วยเล่า.














วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

สำหรับฉัน...เธอสำคัญยิ่งกว่าคำว่าเพื่อน







วันนี้ฉันหยุดงานต่ออีกวัน และคงหยุดยาวไปถึงพรุ่งนี้

หัวค่ำนี้เราจึงมีโอกาสคุยโทรศัพท์กันได้นาน ๆ อีกครั้งหนึ่ง

ตลอดชีวิตฉัน ลองนับนิ้วดู ฉันมีคนที่เรียกว่าเพื่อนอยู่ไม่กี่คน

แต่ละคน...จึงเป็นคนที่ฉันรักและให้ความสำคัญในทุก ๆ เรื่อง

ในบรรดาเพื่อนที่มีอยู่ไม่กี่คนของฉัน

เธอคือหนึ่งในนั้นด้วย แต่เธอสำคัญยิ่งกว่าเพื่อนธรรมดา

ฉันนึกไม่ออกว่าจะใช้คำไหน จึงแทนความเป็นตัวเธอได้ดี

เพราะเธอเป็นยิ่งกว่าเพื่อนชีวิต ในชีวิตจริงของฉันเสียอีก

เหมือนเธอเป็นเงาของฉัน เหมือนเราเป็นเงาของกันและกัน

เคยมีคนพูดกับฉันว่า "คนรัก" สามารถเป็นได้ทั้งเพื่อน

และเพื่อนชีวิต แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้เจอเสมอไป

ฉันเอง...ก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนที่หมดโอกาสเหล่านั้นด้วย

แต่ไม่เป็นไรใช่มั้ย...เมื่อฉันยังมีเธอ เมื่อเรายังมีกัน

จริงอยู่...เพื่อนบางคนอาจทิ้งเราไปได้ทุกเวลาถ้าเราประสบปัญหา

หรือไม่...ก็ไม่ได้มาเดือดร้อนอะไรกับเราสักเท่าไหร่

หรือไม่เรานึกว่าเขาเป็นเพื่อน แต่สำหรับเขา...เราก็แค่คนเคยรู้จัก

แม้แต่เพื่อนร่วมชีวิตของฉันเองก็เถอะ

แต่เธอไม่ใช่...

เธอไม่เคยทิ้งฉัน ในวันที่ชีวิตฉันล้มลุกคลุกคลาน

ในวันที่ฉันรู้สึกว่าโลกนี้แทบไม่มีที่ให้ฉันยืน

...
...

ความรู้สึกที่เรามีต่อกันในวันนี้

แม้จะเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว

แต่วันข้างหน้า ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แต่แม้นจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ฉันอยากจะขอร้อง

ให้เราอย่าหายจากกันไปได้มั้ยเธอ...เธอให้ฉันได้มั้ย

ฉันไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย

เธอไม่ต้องเอาฉันไปเป็นภาระอะไรในชีวิต

แต่ได้โปรด อย่าตัดฉันออกไปจากชีวิตเธอเลยนะ

ขอฉันอยู่ในฐานะเพื่อนข้าง ๆ หัวใจเธอก็พอ

...
...

"เมื่อไหร่จะเลิกเป็นคนขี้ขลาดสักที" เสียงแหบห้าวเหมือนจะดังอยู่เพียงในลำคอ

"อย่ามาประนามงี้ดิ ดูเสียยี่ห้อพิกล" ฉันเสแสร้งทำเป็นตลก

เธอหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่เราจะผสานเสียงหัวเราะร่วมกัน

"เอาเถอะ...ฉันเข้าใจแก" เธอสรุป

"อืม...น่ารักจังคืนนี้ หลับตาดิ เดี๋ยวจุ๊บทีนึงเป็นรางวัล" ฉันว่า

"แหม...คุณนาย แน่จริงก็ยื่นปากมาให้ถึงเชียงใหม่ดิ" เธอกระแนะกระแหน

"ไอ้บ้า ขืนทำได้ฉันก็เป็นแม่นาคไปแล้วดิแก" ฉันว้ากเธอเสียงลั่น

ฉันอยู่จังหวัดเล็ก ๆ ริมทะเล

แต่เธอดิ...ตะเกียกตะกายไปรับใช้ชาติอยู่บนยอดดอยโน่น

แปลกมั้ย...ทำไมหัวใจเราใกล้กันจัง

แต่กับเขา...เราอยู่บ้านหลังเดียวกันแท้ ๆ

แต่หัวใจเหมือนห่างไกลกันนับพันไมล์

"เดี๋ยวเที่ยงคืน คืนนี้จะโทรไปเบิร์ดเดย์นะ" เธอทำลายภวังค์ของฉันลง

"อืม...ขอบใจ แกยังไม่ลืมอีกเหรอ"

"ก็จำได้ลาง ๆ อ่ะ" ทำเป็นรักษาฟอร์ม เชอะ รู้หรอกน่า

เธอวางสายไปแล้ว ฉันจึงนึกอยากบันทึกความรู้สึกดี ๆ

ระหว่างเราเก็บไว้ ในหัวใจฉัน...มันก็ไม่มีที่เก็บเสียแล้ว

นานมากแล้ว ที่ฉันไม่ชอบเก็บความทุกข์ความสุขไว้ในหัวใจ

เพราะเวลาที่มันเกิดอะไรขึ้นมา กว่าจะทรงตัวได้ ช่างยากเย็นสิ้นดี

ฉันต้องทำหัวใจให้ว่างเปล่า แล้วโยกย้ายทุกข์สุขของชีวิต

มาเก็บเป็นบันทึกในบล็อกแทน

ขอโทษทีเถอะนะ...ฉันอาจจะเซฟตัวเองมากเกินไป

แต่คนเคยเจ็บอ่ะเธอ ย่อมไม่อยากกลับไปพบความรู้สึกแบบนั้นอีก

ฉันใช้ชีวิตระมัดระวังมากขึ้น และไม่ปล่อยให้ความรู้สึกอะไร

ฝังอยู่ในหัวใจเด็ดขาด นั่นเอง...ที่ทำให้ฉันอมยิ้มอยู่ได้ทุกวัน

บนกองปัญหามหึมาในบ้านหลังนี้




























































วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

โลกสีน้ำตาของเธอ







เมื่อคืนฝนปรายสายลงมาบางเบา แต่เนิ่นนาน

เธอเปิดโคมไฟสีส้มสลัวลาง ก่อนจะเดินมานั่งเบียดกับฉันที่โซฟา

ไออุ่นจากต้นแขนที่เสียดสีกันช่างดีเหลือเกิน

จนฉันนึกอยากดึงเธอมาซุกแนบอก อยากยืดช่วงเวลานี้ให้นานออกไปอีก

นานไม่มีวันสิ้นสุด หรือถ้าหยุดเวลาได้

ฉ้นคงหยุดเวลา ณ ค่ำคืนนี้...กับเธอ

...

...

ไม่นึกมาก่อนว่าจะมีวันนี้ ที่เราได้นั่งเบียดกันแนบสนิท

ในเมื่อความเป็นจริง มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยสักนิด

ฉันมีคนของฉัน เธอมีคนของเธอ

เราต่างมีพันธะชีวิตด้วยกันทั้งคู่

แต่ค่ำคืนนี้ฉันไม่อยากคิดอะไรที่เปรื้อนเปรอะ

นอกจากเสพสุขกับความสัมพันธ์ที่งดงามของเรา
...

...
เสื้อกล้ามสีขาวเนื้อบางทำให้ฉันมองทะลุไปถึงผิวเนื้อสีแทน

วูบนึง...ฉันเผลอไล้ปลายนิ้วขึ้นไปตามต้นแขน

เธอเกร็งเล็กน้อย วอมไฟทำให้ฉันเห็นเธอขนลุกเกรียว

เราสบตากัน แล้วเธอก็โผเข้ากอดฉันแน่นทีเดียว

ขณะที่ฉันยังไม่รู้จะวางมือวางไม้ไว้ตรงไหน รู้สึกทำอะไรไม่ถูก

ถ้าเป็นคนอื่น พฤติกรรมเผลอไผลของฉัน
อาจนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมน้ำตาไปแล้ว...แต่โชคดีที่เป็นเธอ

จนที่สุด...ฉันก็ตัดสินใจยกอ้อมแขนโอบกอดเธอไว้

เพราะรู้ว่าเธอต้องการมัน

...

...

เข้มแข็งไว้นะ อย่างน้อยก็เพื่อผู้หญิงคนนั้น

คนที่เธอต้องรับผิดชอบดูแล

อากาศในค่ำคืนนี้เริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ

ฉันกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เราต่างนิ่งอยู่อย่างนั้น

เหมือนซึมซับทุกความสุขใส่หัวใจให้หมดจด

ฝนคงเริ่มตกหนักขึ้น ละอองเย็น ๆ พัดกรูเข้ามาทางหน้าต่าง

อากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันต้องลืมตา

...
...

และพบกับความจริงที่ว่า ฉันฝันไป

เรื่องราวเมื่อครู่นี้ ฉันเพียงแต่ฝันไป
ค่ำคืนนี้ไม่มีเธอ ไม่มีใคร นอกจากฉันคนเดียว
คืนนี้มีเพียงฉันลำพังเพียงผู้เดียว

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

เดินเล่นในยามดึก




เวลาเริ่มดึกเข้าไปทุกขณะ

แต่ฉันกลับไม่รู้สึกง่วง อาจเพราะละครเรื่องชิงชัง

ที่ฉันเพิ่งดูจบไป ช่วยนำส่งอารมณ์ให้มันกระปรี้กระเปร่าก็ได้

แล้วก็มาต่อที่ภาพยนตร์เรื่อง ฝัน หวาน อาย จูบ

แถมฉันยังมีอารมณ์ขยันพอที่จะอัพบล็อกต่อไปอีก

อาจเพราะคืนนี้ไม่มีเค้า...เพราะเค้าเข้ากะกลางคืน

ที่บ้านจึงมีแค่คนขี้เหงา กับคนขี้เซา แล้วก็เด็กอีกหนึ่งคน

มันทำให้บรรยากาศในบ้านอบอุ่นในความรู้สึกฉัน

อืม...ฉันลืมเจ้าชิสุห์ที่ชื่อถุงเงินไปอีกตัว

เจ้านี่ก็ไม่ยอมหลับยอมนอนเคียงข้างฉันเหมือนกัน

เหมือนฉันทำบาปทำกรรมกับหมอนี่ยังไงไม่รู้สิ

ฉันไม่นอน เค้าก็ไม่นอน แบบวัดใจกันไปเลยเหมือนกัน

และเพราะการไม่ยอมหลับยอมนอนของฉันนี่เอง

ทำให้ฉันเปิดไปเจอบล็อกผู้ชายคนหนึ่ง

อืม...ดูเหมือนเค้าจะเป็นเกย์

ฉันนั่งอ่านไดอารี่ชีวิตเค้าไปเรื่อย ๆ

ปกติฉันไม่ใช่คนช่างอยากรู้อยากเห็นเรื่องของใครมากนัก

แต่กับผู้ชายคนนี้ เค้ามีวิธีการนำเสนอวิถีชีวิตตัวเองได้น่าสนใจ

ฉันชอบ...ตรงความช่างเปิดเผยของเค้า

มันทำให้เราเข้าใจอะไรได้ง่าย

เค้าบันทึกแม้แต่เรื่องที่เค้าไปมีอะไรกับใคร

รู้สึกอย่างไรกับใคร และเป็นแบบนี้โดยไม่อายใคร

เพราะเค้าเลือกแล้วที่จะเป็น

ฉันอ่านชีวิตเค้าได้ไม่กี่เพจ เพราะเรื่องราวของเค้า

ดูเหมือนจะยาวอยู่เหมือนกัน

แต่ฉันก็ละไว้ในหัวใจล่ะ...ว่าถ้ามีเวลา

ฉันคงได้มาเยี่ยมเยือนเค้าอีกเป็นแน่

...
...

ฉันชอบอะไรที่มันตรง ๆ และแอนตี้คนโกหกอย่างสุดเหวี่ยง

แต่ประทานโทษ ชีวิตนี้ฉันก็ไม่สามารถหลบหลีกได้พ้นอยู่ดี

ฉันแยกออก ระหว่างคำว่า "อำ" กับคำว่า "โกหก"

แต่ช่างเหอะ ในโลกออนไลน์แบบนี้ จะไปหาความจริงอะไรได้

ต้องบอกตัวเองแบบนั้นเพื่อจะได้ปลง ๆ ซะ

พอฉันมาอ่านเรื่องของผู้ชายคนนี้ ...

คุณโน๊ตทำให้ฉันอึ้ง ปน ๆ กับทึ่ง

คุณทำได้ด้วยเหรอ คุณเขียนบล็อกถึงตัวเองแบบตีแผ่

แบบนี้โดยไม่อายใครได้ด้วยหรือ

จากหน้าที่การงานคุณก็ถือว่าโอเค

ฉันรู้สึกว่า อืม...คุณแน่ว่ะ...

อ่านเรื่องคุณแล้วมีความรู้สึกว่ามีความสุข

ได้ประสบการณ์ชีวิต ได้แนวทางความคิด

และอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ทำให้เห็นอีกมุมหนึ่งของชีวิตไปเลย

คุณไม่อายที่จะบอกว่าตัวเองเป็นใคร

เพราะคุณไม่ได้เป็นคนเลว เป็นคนไม่ดีมาจากไหน

แต่คุณเป็นคุณ สามารถบอกกับใครก็ได้ว่า...นี่แหละคุณเอง

ในขณะที่บางคน ไม่สามารถบอกใครได้ว่าตัวเองเป็นใคร

ทำอะไร ระหวาดระแวง คลางแคลง จนต้องมานั่งเสแสร้ง

เฮ้อ! น่าปวดหัวแทนพวกเค้าจัง

ฉันอ่านเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รู้จัก

แต่มันทำให้รู้สึกดีจัง คืนนี้ฉันอยากจะหลับฝันดี

เพราะรู้สิ...ว่าพรุ่งนี้ฉันต้องลืมตาตื่นมาเจอกับภาพความจริง

ที่ชวนฝันร้ายอีกตามเคย หมดวันของฉันเสียทีสำหรับวันนี้

Good night เพื่อน ๆ ที่รักของฉันทุกคน

ขอพรพระคุ้มครองนะคับพี่น้อง

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

อึดอัด




ฉันมีเวลาประมาณ 20 นาทีสำหรับการหายใจทิ้ง

ก่อนที่จะต้องออกไปทำงาน

และนั่น...ทำให้ฉันเผลอไผลไปถึงเธอ

กับเรื่องความสัมพันธ์ของเรา

เปล่า...ฉันไม่ได้ลังเลในวิถีที่เลือกจะเป็น

แต่ฉันหวาดหวั่นในความปรวนแปรของเธอตะหาก

เกรงว่ามันจะมีผลต่อวิถีของฉัน ชีวิตของฉัน

...
...

เมื่อวันอาทิตย์เธอเปิดประตูห้องนอนออกมายืนยิ้มเผล่

ในมือชูแผ่นดีวีดีให้ฉันดู

ฉันกำลังจะลุกเข้าห้องนอนตัวเอง

"เดี๋ยวดิ" เธอรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงอ่อน ๆ

ฉันเพียงแต่เหลือบมอง พยายามทำสายตาให้เป็นปกติ

ไม่ทำมุมปากเหยียด ๆ ไม่ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วย

อ้อ...แล้วก็ไม่เม้มปากด้วย ใบหน้าฉันเลยเป็นปกติดีในสายตาเธอ

ทั้งที่อารมณ์ข้างในอ่ะเหรอ ไม่อยากจะอยู่ฟังอะไรเลยล่ะ

"นี่สามก๊กชุดใหญ่เชียวนะ เดี๋ยวดูด้วยกันมั้ย"

เห๊อะ...ฉันเนี่ยนะจะดูสามก๊ก

เวลานั่งเหยียดขาเอนหลังสบาย ๆ ยังไม่ค่อยจะมี

เล่นคอมไป ฉันยังต้องมีงานในมือทำไปขณะรอโหลดหน้าเพจ

แล้วจะมีปัญญาอะไรว่างไปนั่งดูสามก๊กนั่นเล่า

"คืนนี้ดูด้วยกันนะ" สายตาเชิญชวนเต็มที่

แต่ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ได้รักษาฟอร์มอะไรนะ

แต่ไม่อยากจะมีปฏิสัมพันธ์อะไรร่วมด้วยเลยสักอย่าง

"อยากให้ช่วยเปิดดีวีดีให้หน่อย ไม่ค่อยเข้าใจระบบ"

ต๊ายยย...มุกนะยะ

แล้วทีต่อลำโพง แยกเซอราวน์ เพิ่มแอมป์จนหูแทบแตกอ่ะ

ทำไมทำเป็น กะอีแค่ยัดดีวีดีลงเครื่องแล้วกด play เกิดทำไม่เป็นซะงั้น

"ไม่อ่ะ...คืนนี้จะเล่นคอม" ฉันยืนยันตามเดิม

"คอมอีกและ เล่นทุกวัน ไม่กลัวต้องยกไปซ่อมมั้งเหรอ"

เธอพูดน้ำเสียงเนือย ๆ แต่ฉันดิ...สะดุ้งเฮือก

"อะไร อะไร...ทำไมต้องยกไปซ่อม จะหาเรื่องไรอีกล่ะ"

ฉันโวยวายเสียงดัง หน้าตาอารมณ์ที่บล็อกไว้อย่างดี

ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหน้าสีแดง ๆ ตาสีเขียว ๆ มีแสงเรือง ๆ ล่ะ

แถมมองขวาง ๆ ทำปากยื่น ๆ หงุดหงิดชิบป๋ง

"ไม่ได้หาเรื่อง ก็เห็นเล่นทุกวัน ระวังมันจะเจ๊งเอานะ" เธอยักไหล่

โห...ถ้าฉันเป็นแมนหน่อยไม่ได้ แม่จะสอยให้ร่วงล่ะ

ป๊าดติโธ่...

"มันเจ๊งเพราะฉันก็แล้วไป อย่าให้รู้ว่ามีใครมาแอบทำแล้วกัน" ฉันสวน

"ครายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย...มันจะไปทำของเธอ"

ง่ะ...จะคร๊ายยยย...(ก็แกอ่าดิ !!!!!/*****อันนี้แอบคิดในใจ เอิ๊ก เอิ๊ก)

"น่า...คืนนี้ไปดูสามก๊กด้วยกันนะ" เธอยังเซ้าซี้

ฉันไม่ได้โง่...ที่ดูเธอไม่ออก

แต่บางที ฉันก็ต้องแกล้งโง่ ทนดูสามก๊กกับเธอ

ฉันไม่ใช่ไม่มีทางเลือก

แต่บางที ฉันก็จำเป็นต้องเลือกเดินทางที่มันขรุขระ

เพราะมันเป็นทางลัด

ฉันไม่ได้ซื่อ

เพียงแต่เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่ชอบเล่นบทซื่อต่อหน้าเธอเท่านั้นเอง

...
...

เอาวะ....ดูก็ดู ฉันตัดสินใจ ว่าทน ๆ ดูสักชั่วโมง

แล้วก็ทำเป็นแบบ ฮ้าววววววววว ฮ้าววววววววววววว

ขอตัวไปนอน แล้วค่อยมานั่งเล่นบล็อกก็ได้

ซึ่งฉันมารู้ตัวทีหลังว่าแผนนี้ใช้ไม่ได้ เพราะฉันดูจนเผลอหลับ

ไปตั้งกะเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก็เล่าปี่อ่ะเพิ่งมาเจอกวนอู กับเตียวหุย

เพิ่งจะเป็นท่านนายอำเภอเอง

ฉันต้องถ่างตาโต้รุ่งนั่นล่ะ ยังไม่รู้ว่าเล่าปี่จะได้เป็นเจ้าเมืองรึยัง

กว่าจะได้ออกจากห้องเธอ...ก็เช้านั่นล่ะ

ทีหลัง...ไอ้มุกสามก๊กนี่...ฉันจะไม่ยอมหลวมตัวเด็ดขาดเลย เฮ้อ! เซ็ง
...
...
ฉันไม่ชอบความใกล้ชิดแบบนี้ มันอึดอัด
ฉันยอมรับว่าหวั่นใจ
กลัวอะไร ๆ ที่ตัดสินใจไปแล้ว มันจะล้มเหลว
ฉันกลัวการเริ่มต้น โดยเฉพาะการเริ่มต้นกับคนอย่างเธอ
มันน่ากลัว
กว่าชีวิตจะคลายล็อกได้
ฉันไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิมอีกเลยจริง ๆ
...
...
- -"














วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

เพราะรู้สึกว่าใจ...มันหายตาม




ตีหนึ่งเศษที่ฉันเข้าบล็อก

ไม่ได้คาดคิดว่าจะมาอ่านอะไรนักหนา

นอกจากหัวใจมันรู้สึกคิดถึง บ้านหลังเล็ก ๆ อีกหลัง

อยากแวะโต๋เต๋อ่านอะไรต่อมิอะไร

ของคนที่อยู่ในบ้านเดียวกันสักครู่แล้วค่อยนอน

แล้วฉันก็เห็นว่ามีการอัพบล็อกใหม่ของเพื่อน

ที่บล็อกเขา ไม่ได้เขียนข้อความอะไรมากมายนัก

นอกจากภาพอุบัติเหตุรถชน ซึ่งฉันก็คิดเพียงว่า

เขาคงถ่ายจากอุบัติเหตุที่ไปพบเห็นมา

ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นตัวเขาเอง ที่ประสบอุบัติเหตุครั้งนี้

โชคดีที่มันสะบักสะบอมแค่วีออส แต่เขาปลอดภัย

แต่นั่น...มันก็ยังทำให้ฉันรู้สึกใจหายอยู่ดี

....

10 กว่าปีก่อน ฉันเคยสูญเสียเพื่อนที่รักที่สุดไป

กับอุบัติเหตุรถยนต์ มันยังเป็นฝันร้ายในชีวิตฉันเรื่อยมา

ภาพที่เขานอนแผ่อยู่กลางถนน เลือดของเขาที่เปื้อนเปรอะ

เต็มเสื้อยืดของฉัน มือของเขาที่กุมมือฉันแน่น

สายตาเจ็บปวดของเขา ที่สื่ออะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากความเจ็บปวด

ซึ่งฉันเข้าใจดี ว่าเขาต้องการจะบอกอะไร

ฉันวิ่งเกาะขอบเตียงรถเข็นไปส่งเขาถึงหน้าห้องไอซียู

แต่สุดท้าย ... เขาก็จากไปอย่างสงบ

ไม่มีใครสามารถฉุดรั้งชีวิตเขาไว้ได้

ฉันเป็นคนสุดท้ายที่ดึงผ้าสีขาวคลุมหน้าให้เขา

วินาทีนั้น...หัวใจมันเหมือนถูกบีบจากแรงกดที่มองไม่เห็น

เจ็บปวดทรมานสิ้นดี กับการสูญเสียครั้งนั้น

....

สำหรับเพื่อนในบล็อก

ถือว่าโชคดี...ที่อุบัติเหตุครั้งนี้อ่วมแต่แค่วีออส

ถือเสียว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกันนะรำพึง อย่าไปคิดไรมาก

ถ้าค่อยยังชั่ว น่าจะไปหาวัดทำบุญซะหน่อยคงดี

เสียใจด้วยนะน้องชาย...กับเจ้าวีออส

แต่เข้าอู่ให้เค้าเคาะ ๆ พ่น ๆ เดี๋ยวก็คงเนียนเหมือนเดิมล่ะ

ยังไงตะเองปลอดภัยไม่เป็นไรก็ดีแล้ว

อย่าลืมไปเช็คสุขภาพอย่างที่ U can เตือนซะหน่อยก็ดีนะ

มีอะไรเดี้ยง ๆ ฟกช้ำดำเขียว ก็ขอให้หายเร็ว ๆ เน้อ...คุณน้องชาย



ณ. บ้านบางละมุง เช้าวันใหม่

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ไม่สุข


ปลายสายตัดสัญญาณไปแล้วนั่นล่ะ
ฉันจึงค่อยรู้สึกตัวว่า ถือโทรศัพท์ค้างอยู่
ทุกครั้งที่ชีวิตปะทะเข้ากับอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ได้รับเชิญ
ส่วนใหญ่ฉันมักมีสติในการตั้งรับค่อนข้างดีพอใช้
เพราะการฝึกดูใจให้รู้เท่าทัน
ที่ครั้งหนึ่งฉันเคยไปนั่งปฏิบัติธรรมมา
ดูจะเป็นวัคซีนที่ดีในการป้องการความทุกข์ใด ๆ
ที่จะเข้ามากระทบถึงใจได้
ความทุกข์จึงติดอยู่ในใจฉันไม่ค่อยได้นาน
ก็มักสูญสลายไปตามเหตุและผลที่ควรจะเป็น
แต่เธอ
ผู้พิสมัยความศิวิไลค์แห่งโลกการคืน
ไม่ได้มีหลักเกณฑ์อะไรสักเท่าไหร่ในการดำเนินชีวิต
ยังใช้ชีวิตแบบประมาทโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
เวลาเจออะไรแต่ละที ก็ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่า
ความห่วงของฉัน ดึงเธอไว้ไม่เคยได้เลยแม้สักครั้ง
ปรารถนาดีจากฉัน กลายเป็นเรื่องน่าขบขันทุกทีที่บอกเตือน
และมือของฉัน ก็กลายเป็นผ้าเช็ดหน้าให้เธอทุกครั้งร่ำไป
อ้อมกอดของฉัน กลายเป็นผ้าอุ่น ๆ ในวันที่เธอเหน็บหนาวไม่มีใคร
ทำไมต้องรอจนตัวเองเหมือนคนไม่มีค่า
ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่า
ทำไมต้องรอให้คนอื่นเห็นคุณค่า
ทั้งที่ไม่คิดจะทำตัวให้มีคุณค่า
ทำไมไม่ตื่นขึ้นมาสักที จากโลกแห่งจินตนาการ
ที่นำเธอไปสู่หุบเหวแห่งการมืดดับ
ทำไมล่ะ...น้องคนดี

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เก็บไว้ในหัวใจ








"จากอ้อมอกแม่มาสู่ริมเล

หลงทางอยู่กับคนเกเร...เนิ่นนาน"

...

...

ฉันอ่านข้อความสองบรรทัดสุดท้าย

ในโปสการ์ดของเธอ

และโดยไม่ทันระวัง

ฉันเผลอสับเพร่า

ทำดอกหญ้าแห้งที่เธอแนบฝากมาหล่นร่วง

เธอกำลังทำให้ฉันคิดถึงเขา

คิดถึงความรู้สึกเก่า ๆ ของตัวเอง

ความคิดฉันวนเวียนกลับไปกลับมา

ที่สุด...เมื่อคืนก่อนนอน

ฉันต้องไปทำสมาธิอยู่ราวชั่วโมง

กว่าจะดึงหัวใจให้กลับมาเป็นปกติดุจเดิม

เธอนะเธอ

ช่างก่อกวนเหลือดี

...
...




อ่อนโยนทุกที ที่คิดถึง

เธอช่างรู้วิธีตรึงคนอ่อนไหว

ให้รู้จักความจริงของหัวใจ

จนยากบังคับใจให้ปล่อยมือ

นับแต่เธอกอดไว้ในวันนั้น

ฉันจะมอบหัวใจรักใครได้อีกหรือ

แววตาเย้าก่อนเก่าที่เล่าลือ

ก็ยังคงเป็นแววตาซื่ออยู่เช่นนี้

แม้นวันนี้หัวใจรักช่างแล้งไร้

รักจากเธอยังแนบใจไปทุกที่

เธอคนเดียว...เติมเต็มใจได้พอดี

เพียงแต่...มากไปกว่านี้ ไม่ได้อีกแล้ว

...

...

ฉันค่อย ๆ บรรจงเก็บโปสการ์ด

เข้าซองจดหมายตามเดิม

เธอกำลังซุกซ่อนความรู้สึกอยู่ใช่มั้ย

โปสการ์ดที่ดาษดื่น ฉันเห็นเขาก็ส่งกันเปล่าเปลือย

แต่ทำไมเธอต้องซ่อนเร้นมาในซองจดหมาย

คิดอะไรมากมายกันนักเล่าหัวใจ

วางเสียบ้างเถิด...

เกรงว่าจะเหนื่อยเกินไปแล้ว...

อยากจะเตือนไว้สักนิด

คนเรา...ถ้ารู้อยู่แล้วว่าเสียเวลา เหนื่อยเปล่า

ก็หันไปหาอะไรที่เป็นประโยชน์ทำเถิด

โลกยังมีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจอีกเยอะ

เปิดตาเปิดใจให้กว้างเสียนะ

อย่าให้ความรักทำลายตัวเอง

จงใช้ความรักเป็นเกราะคุ้มครองตัวเองเถอะนะ.

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

อาจเพียงแค่บรรเทา...เพราะเราห่วงเธอ


ฉันไม่รู้จะช่วยยังไง...
อีกอย่างการฟังใครพูดนั่นพูดนี่มาก ๆ อาจทำให้เธอสับสน
เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ
ฉันจึงเพียงบอกเธอได้แค่ว่า
ลองคุยกันหน่อย เผื่อจะสบายใจขึ้น
.....
.....
เราคุยกันถึงเรื่องคนที่เธอผูกพัน
ฉันเพียงสรุปคร่าว ๆ จากวันที่เขาเกิดเท่านั้น
เขาเป็นผู้ชายเกิดวันที่ 10
ตามที่ฉันศึกษามา ผู้ชายเกิดวันนี้มักเป็นคนโดดเดี่ยว
เธอเหลือบมองหน้าฉันแว่บนึง แต่ไม่ได้พูดอะไร
ชีวิตครอบครัวมักมีปัญหา หรือไม่ก็ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ล่ะ
หรือถ้ามีครอบครัวก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน อาจต้องห่าง ๆ หาย ๆ
ไป ๆ มา ๆ ไม่ใช่ชนิดที่ว่ากลับบ้านเจอกันทุกเย็นว่างั้นเถอะ
อย่างใดอย่างหนึ่ง อิทธิพลตัวเลขมันเป็นไปแบบนั้น
"เค้าอยู่กับป้าอ่ะพี่" เธอเงยหน้าขึ้นบอก
ฉันกำลังนึกเรียบเรียงถ้อยคำที่อยากจะบอกเธออยู่
ว่าคนที่เกิดวันที่ 10 ดวงเป็นคนเก่งอยู่เหมือนกัน
แต่ก็หนีทุกข์ที่เข้ามาบั่นทอนใจไม่ได้
หัวแข็ง หัวใจรักอิสระ หุนหันพลันแล่น
กล้าคิด กล้าทำ ยุติธรรม เรียกว่ามีจุดยืนของตัวเองน่าจะได้
เมื่อผู้ชายคนนี้หัวแข็ง เธอคงรู้สินะ...ว่าใครควรจะหัวอ่อน
และนั่นมันก็ไม่ใช่เธอ
แถมคนเกิดวันนี้ทำคุณใครก็ไม่ขึ้น เพราะชอบไปควบคุมจัดการ
ไม่ชอบประนีประนอม มักมีปัญหากับหัวหน้างานด้วยซ้ำ
"ก็ใกล้เคียงนะพี่ เห็นบ่นว่าโดนย้ายไปปริมณฑล ไม่ได้อยู่
สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯแล้วอ่ะ ไม่รู้ย้ายเพราะไรเหมือนกันพี่"
.....
.....
เกิดวันอังคาร อืมม์
เป็นคนแข็งอยู่สักหน่อย หัวดื้อ กล้าพูดกล้าทำ
จะว่าปากเสียก็พอได้นะ ลักษณะนิสัยแบบนี้ทำให้มีศัตรูง่าย
จริงใจจริงจังมั้ย...ก็พอได้ แต่มาในลักษณะแข็งกร้าว
ไม่ใช่เวอร์ชั่นเหมือนชาวบ้านเค้าล่ะพ่อคนเนี้ย
.....
.....
ในด้านความรัก เป็นคนค่อนข้างหวือหวา ไปไวมาไว
จนตามไม่ค่อยจะทัน บางทีปิ๊งปุ๊บรักปั๊บเลยนะ คนวันเนี้ย
เป็นคนลักษณะเด็ดขาด ท้าไม่ได้ แบบจะไปพูดอะไรเชิงแตกหัก
ล่ะก็...ได้มีหักมีแตกสมใจแน่
"แล้วถ้าเราอยู่กับคนเกิดวันที่ 10 เราจะมีความสุขมั้ยพี่"
ฉันเผลอมองค้อนเข้าให้
"มันไม่ได้อยู่ที่เกิดวันอะไร ที่พูดให้ฟังไม่ได้บอกว่า
คนเกิดวันที่ 10 จะเป็นแบบนี้ทุกคนซักหน่อย อย่าหลงประเด็นดิ"
คนถามอึ้งไป...
ฉันมองเห็นความสับสนในดวงตาเธอ
"แค่การอ่านพื้นนิสัยจากวันเกิดเท่านั้น อย่าจริงจัง" ฉันเตือน
"แล้วพี่เช็คแฟนพี่มั้ย ตอนรักกันอ่ะ" เธอย้อนถาม
"ก็มีบ้าง อย่างน้อย...ก็ขั้นพื้นฐาน"
"แล้วตอนนั้นผ่านมั้ย" เออนะ...สนใจความรักฉันเสียจริงแม่สาวน้อย
ฉันส่ายหน้า
"อ้าวววว.... " เธอทำหน้าเหวอ
ฉันหัวเราะเบา ๆ "ก็บอกแล้วไงว่ามันใช้เป็นมาตราฐานไม่ได้"
เราคุยกันเรื่องอิทธิพลตัวเลขอีกพัก ก่อนแยกจากกัน
.....
.....
มีบางส่วนที่ฉันบอกเธอไม่หมด
เท่าที่ฉันจำได้ คนเกิดวันนี้ดวงมันมีเหตุจะต้องอยู่คนเดียว
ตรงนี้มันก็ทำให้เขาเป็นคนเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว
ความที่ว่ายืนโดยลำพังได้โดยไม่แคร์ใคร
ก็เลยทำให้กลายมาเป็นคนที่ไม่ค่อยจะแคร์ใครในเวลาต่อมาอ่าดิ
เธอจะรับมือไหวมั้ยหนอ
จะว่าไปเพราะพื้นฐานดวงเขาเป็นมาแบบนี้
ทำให้เป็นคนค่อนข้างแข็ง แต่ความจริงแล้วก็เป็นคนว้าเหว่เหมือนกัน
ความรักเหรอ...ก็ต้องการนะ สรุปว่าต้องการทั้งรักและก็เข้าใจนั่นล่ะ
แต่มันซ่อนอยู่ในความแข็งของเขาอ่าดิ เธอจะค้นเจอความจริงนี้มั้ย
จะทนคบหาจนค้นเจอมั้ย....
ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
.....
.....
ตอนฉันมีความรัก วินาทีนั้นฉันรู้เลยว่า
ไม่ใช่อ่ะ...ผู้ชายคนที่ฉันคบเนี่ย มันไม่ใช่แน่ ๆ ถ้าวิเคราะห์ตามดวง
แต่ฉันรักเขา เพราะเขาเป็นเขาแบบนั้น ในวันนั้น
อิทธิพลตัวเลข ไม่มีอิทธิพลในการตัดสินใจของฉัน
เพราะฉันเชื่อมั่นในความรักมากกว่า
แม้มันจะโง่ในสายตาใคร
แต่เพราะหัวใจฉันยังคงเชื่อว่า...รักแท้นั้นมีอยู่จริง
เพียงแต่ฉันอาจโชคไม่ดีนัก...ที่ยังคงตามหามันไม่เจอ
ก็เท่านั้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

วันสาร์ทจีน





ฉันไม่ใช่คนจีน และไม่ใช่แม้แต่คนไทยเชื้อสายจีน

แค่เที่ยงคืนของวันนี้ ฉันก็กุลีกุจอช่วยเจ๊หงส์งก ๆ ตั้งโต๊ะไหว้

เจ๊หงส์เป็นคนจีนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

เหมือนสมชายจรดปลายเท้ายังไงยังงั้น

เพราะถึงจะปูนนี้ก็เหอะ แกเคยควงตะหลิวห้ามเด็ก

ม.เกษตรตีกันมาแล้วนะคะพี่น้อง ข้าน้อยล่ะซูฮก

และก็บังเอิญว่าร้านเราอยู่ใกล้กัน

ฉันมองสองสามีภรรยาชาวจีนหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่เป็นนาน

จนกระทั่งเห็นเจ๊หงส์เหงื่อแตกเต็มหน้านั่นล่ะ

ดูทีรึ...ถ้าขาดฉัน มันจะไม่ครบองค์ประชุมยังไงไม่รู้ เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก

"เจ๊หงส์ มา มา...หนูช่วย ลื้อนั่งก่อน จ๋อเตี่ยมเตี่ยม"

"ฮ่อ ฮ่อ...ลี ลี ม่ายหวาย แก่เลี้ยว ทำไรโหน่ย..จะตาย"

ฉันนึกขำ...ถึงกับจะตายเชียวเหรอเจ๊

แต่เจ๊ก็ยอมตาย เพื่อประเพณี เพื่อบรรพบุรุษตัวเองเน๊าะ

ข้าน้อยขอยกย่อง อิอิ...ล้อเลียนเจ๊หงส์ลับหลังบาปไหมน๊อ

แต่ฉันนั่งไขว่ห้างแล้วนะ นิ้วมือไม่ว่างนี่นา กำลังพิมพ์ดีดอยู่อ่ะ หุ หุ

เลือดจีนเจ๊เข้มจัง ฉันล่ะนับถือ ๆ (อันนี้จากใจจริง)

ระหว่างช่วย ฉันก็ไถ่ถามถึงความเป็นมาของเทศกาลไปด้วย

อย่าหมายนะว่าจะช่วยกันฟรี ๆ เล่ามาซะเด ๆ เลยเจ๊

เรื่องราวมันเป็นมาไง ทำไมต้องเรียกสาร์ทจีน

"สาร์ทจีนคือไรอ่ะ ?"

"ม่ายน่อ..."

อึ้ก...เหมือนโดนหมัดฮุกที่ช่องท้อง อะไรกัน

แค่ไถ่ถามประเพณีลื้อแค่เนี้ย ทำไมต้องม่ายน่อ ม่ายน่ะ...ด้วยล่ะเจ๊

อ๋อ...พอดีมันได้ฤกษ์ผานาที ที่เค้าจะจุดเทียนไหว้กันแล้วนั่นเอง

ฉันกะว่าไว้รอเลิกค่อยถาม แต่นั่นคือความคิดที่ผิดซะแล้ว

เพราะพอเลิก ฉันก็มัวแต่ช่วยแกเก็บข้าวของขึ้นท้ายรถปิ๊กอัพ

พอปิดกระบะท้ายเสร็จ เฮียแกก็สตาร์ทรถ บึ้ม บึม บึม...บรื๊ดดดดดดด

ไปลิบเลย สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เหลือไก่ตัวซีด ๆ ไว้ให้ฉัน 1 ตัว กับขนมเข่งอีกนิดหน่อย

ก็ยังดีฟร่ะ หุ หุ

.............

.............

กลับถึงบ้านฉันก็ยังคาใจ ทำไมคนจีนชอบไหว้เจ้า

เซ่นไหว้แล้วก็แจกจ่ายข้าวของให้ลูกหลาน เพื่อนบ้านกิน

ไม่เหมือนคนไทยใส่บาตร ยังรู้ที่มาที่ไป ยังถึงมือผู้รับชัวร์

ฉันก็เลยเข้าเน็ตหาคำตอบให้ตัวเอง จนเคลียร์คร่าว ๆ ว่า...

...............

..............

การไหว้ ในเทศกาลสาร์ทจีนต่างจากการไหว้ในเทศกาลอื่นๆ

ตรงที่แบ่งการไหว้ออกเป็น 3 ชุด

ชุดแรก สำหรับไหว้เจ้าที่

จะไหว้ในตอนเช้า มีอาหารคาวหวาน ขนมไหว้ก็ใช้

ถ้วยฟู กุ้ยไช่ ซึ่งต้องมีสีแดงแต้มเป็นจุดเอาไว้

ส่วนขนมไหว้พิเศษที่ต้องมี ซึ่งเป็นประเพณีของสารทจีน

คือ ขนมเข่ง ขนมเทียน นอกจากนั้นก็มีผลไม้ น้ำชา

หรือเหล้าจีน และกระดาษเงิน กระดาษทอง

ชุดที่สอง สำหรับไหว้บรรพบุรุษ

คล้ายของไหว้เจ้าที่ พร้อมด้วยกับข้าวที่ บรรพบุรุษชอบ

ตามธรรมเนียมต้องมีน้ำแกง หรือขนมน้ำใส ๆ วางข้างชาม

ข้าวสวย และน้ำชา จัดชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ

ถ้าเป็นคนมีฐานะก็นิยมไหว้โหงวแซ คือมี เป็ด ไก่ หมู ตับ ปลา

พร้อมด้วยกับข้าวอีกหลายอย่าง แล้วแต่ว่าจะจัดที่บรรพบุรุษชอบ

หรือจะจัดแบบที่ลูกหลานคนที่ได้กินจริงชอบ

ชุดที่สาม สำหรับไหว้วิญญาณพเนจร

ผีไม่มีญาติ ซึ่งไม่มีลูกหลานกราบไหว้ เรียกว่า

ไป๊ฮ้อเฮียตี๋ หรือบางแห่งเรียกว่า ฮ้อเฮียตี๋

จะต้องไหว้นอกบ้าน ของไหว้มีทั้งของคาวหวาน

กับผลไม้ตามต้องการ และที่พิเศษคือ

มีข้าวหอมแบบจีนโบราณ คอปึ่ง เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด

เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง

แบบเฉพาะ ที่เรียกว่า อ่วงแซจิว จัดทุกอย่างวางอยู่ด้วยกัน

สำหรับเซ่นไหว้

พิธีไหว้

การไหว้เจ้าที่ จะไหว้ก่อนในตอนเช้า เผากระดาษเงิน

กระดาษทองจนเรียบร้อย สายๆ จึงตั้งโต๊ะไหว้บรรพบุรุษ

และไหว้ฮ้อเฮียตี๋ บางบ้านนิยมไหว้ตอนบ่าย

ถ้าไหว้พร้อมกัน ให้ตั้งโต๊ะแยกจากกัน

แต่เผากระดาษเงินกระดาษทองร่วมกันได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.newminisociety.com/ ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล

.................

.................




ภาพโดย คุณ gacktky

จาก board.palungjit.com/attachment.php?attachment...

ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ

ปล...พี่น้องของฉัน ห้ามแซวว่าแก๊งค์ขาแด๊นซ์มุมขวา

กับเพลงไม่แมทกันนะคะ แค่อินเทรนตามเทศกาล

เดี๋ยวก็กลับสู่สภาวะปกติค่ะ แฮะ ๆ ๆ ๆ

ต้อง ปล.ไว้ก่อน ก็พี่สาวแถวปทุมของฉันอ่าดิ ขาแซวอยู่ด้วย

แปะยันต์กันแซวเอาแถวนี้แหละวุ้ย ห้าม ห้าม ห้าม

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

หลังเลิกงาน

ฉันกำลังจะเดินผ่านห้องรับแขกเข้าสู่ห้องเล่นคอม

ระหว่างทาง...มีดวงตาใส ๆ เหมือนจับจ้องมองฉันอยู่

เฝ้าเพียรขยับครีบแหวกว่ายกรูกันมาอยู่มุมตู้กระจก

ปลาทองตัวอ้วนบึบ 4 ตัวของฉันนั่นเอง

จะอะไรน่ะเหรอ...ก็ว่ายมาขออาหารกินตามประสาปลาตะกละอ่ะดิ

เดินผ่านทีไรเป็นหิว นี่หน้าฉันมันไปเหมือนซากุระที่ตรงไหนเนี่ย

วันนี้ฉันเพิ่งสังเกตุ....ว่ามีปลาดูดตะไคร่ (ชื่อไรม่ายรุอ่ะ)

เพิ่มมาด้วยคู่หนึ่ง

คงเป็นฝีมือเขา...ฉันถามคุณเพื่อนอีกทีเพื่อความแน่ใจ

"เฮ้ย แกรู้มั้ยว่าบ้านเรามีสมาชิกใหม่ว่ะ"

คุณเพื่อนเหลือบมองฉันแว่บหนึ่ง ก่อนจะพยักเพยิดหน้าให้

อืม...แสดงว่ารู้

"เห็นมันหิ้วมาตั้งแต่วันเสาร์แล้ว" คุณเพื่อนบอก

ฉันเลิกคิ้ว...ก่อนจะยักไหล่

เป็นอันรู้กันว่ามันในที่นี้คือใคร

ความสนใจสมาชิกใหม่ฉันสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น

ทันทีที่รู้ว่าใครเป็นคนพาสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่ในบ้าน

...
...

หนังสือเล่มเดิมที่อ่านค้างคาถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง

ว๊าว! ฉันชอบประโยคนี้จัง

"ในวันที่สับสน หวั่นไหว อย่าให้ความดีไม่มีที่อยู่"

แม่เจ้า...จอร์ชเอ๊ย...มันสุดจะยอดเลยนะเนี่ย คำเนี้ย

เขาว่าความดีน่ะทำยาก ที่เซ่นเว่นไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง

และกว่าจะทำดีได้สักครั้ง ก็ต้องชนะ "กิเลส" ของตนนั่นแล

เหมือนเรามีเพื่อนที่ถูกใจสักคน

เป็นไปได้มั้ย ที่จะทนเห็นเขาไปพึงพอใจใครเพิ่ม นอกเหนือจากเรา

ถ้าไม่หลอกตัวเอง อยากให้เขาเห็นเราพิเศษที่สุด

มนุษย์เรามักต้องการอะไรที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองอยู่แล้ว

และสมมติรู้ ว่าเขาถูกใจใครสักคน

จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะแฮ็ปปี้ได้โดยไม่รู้สึกอะไร

เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขา อืมม์...กิเลสในใจคงไม่ยอม

แม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นไร ในนาทีที่หวั่นไหวอ่อนแอ

นั่นไง...ความดีเริ่มไม่มีที่จะอยู่ซะแล้ว

...
...

ฉันปิดหนังสือ อ่านค้างไว้แค่นั้นก่อน เพราะเริ่มง่วง

แล้วหันมาเปิดหน้าเพจบล็อกของตัวเอง

ก่อนนอน ฉันน่าจะบันทึกบางสิ่งที่รู้สึกสำหรับคำคืนนี้สักหน่อย

ตามประสาคนชอบเขียนไม่ชอบบ่น

คืนนี้...ขอพรคุณพระ ให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ของฉัน

ฝันดีกันทุกคนนะคะ

Miss you my friends.