วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คริสมาสต์ของ 2 เรา

วันนี้เป็นวันบ็อกซิ่งเดย์ ไม่ใช่วันชิงแชมป์ชกมวยแต่ประการใด

แต่เป็นวันที่พวกฝรั่งเค้าเรียกกันว่าวันแกะกล่องของขวัญ

ไอ้ส่วนฉัน ก็ไม่ใช่คนไทยที่เข้าข่ายเห่อเหิมตามฝรั่งแต่ประการใด

เพียงแต่ว่าไอ้ตัวเล็กเค้าได้รับอิทธิพลมาจากโรงเรียนหน่อยนึง

ฉันก็เลยต้องมีของขวัญ 1 กล่องสำหรับเขา

บ้านเราไม่ได้เป็นอาณานิคมของฝรั่งแต่ประการใด

แต่ก็ไม่วายประดับประดาตกแต่งต้นคริสมาสต์ตามฝรั่งเค้าไปด้วย

ความที่ชอบส่วนตัว ว่ามันสวยดี

ที่บ้านฉันจึงมีต้นคริสมาสต์สูงประมาณ 5 ฟุตอยู่ต้นหนึ่ง

ใช้มาหลายปีแล้ว ทนทาญาติ ไม่ร่วงไม่พังสักที

ซื้อพร้อม ๆ กับที่ซื้อบ้านหลังที่อยู่ปัจจุบัน

เมื่อคริสมาสต์อีฟที่ผ่านมา ฉันช่วยกันกับไอ้ตัวเล็กตกแต่งต้นคริสมาสต์ของเรา

ฉันนั่งมองดูเขาบรรจงหยิบซานตาครอสตัวเล็ก ๆ แล้วอมยิ้ม

"นี่เรียกซานต้าคับคุณแม่เอ" เขาบอกฉันด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

"รู้ดีจริง" ฉันกระแหนะกระแหน

"ช่ายยย รู้ดีจริง" เขาทวนคำพูดฉันพร้อมพยักเพยิดทำหน้างึกงักขึ้นลง

ฉันอดขำไม่ได้ ไม่ได้รู้เลยนะว่าถูกเหน็บน่ะ

"ตะวันชอบวันคริสมาสต์เหรอลูก"

"ชอบซี่" รีบหันมาบอก

"ทำไม"

"....." เขาเงียบ ทำหน้าตาคิดหนัก

"ว่าไงล่ะ ทำไมถึงชอบ" ฉันเร่งรัด

"มันสวยดี" เขาบอกในที่สุด

ฉันดึงเขามากอด เหตุผลที่เขาคิดขึ้นมาได้ในตอนนั้น

เพราะนึกอะไรไม่ออก คำตอบจึงไม่ซับซ้อน

ฉันนั่งเล่าประวัติวันคริสมาสต์สั้น ๆ ให้เขาฟัง เล่าว่าซานต้าคือใคร

มีหน้าทีอะไร แล้วมีความสนุกอะไรบ้างในวันคริสมาสต์

เราสองคนใช้ช่วงเวลาเฉลิมฉลองกันถึงเที่ยงคืน ในที่สุดเขาก็หลับไป

บ้านทั้งบ้านเริ่มเงียบ ฉันดับไฟทุกดวงในบ้าน เปลี่ยนมาจุดเทียนหอมแทน

ฉันนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา มีวอมไฟจากเทียนเล่มเล็ก ๆ เป็นเพื่อน

ความสุขเล็ก ๆ ที่เรียบง่าย และงดงาม

เกิดขึ้นได้ทุกบ่อย ยามฉันอยู่กับเขา เจ้าเซเซ่ตัวน้อยของแม่







naitontan.

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อีกครึ่งช่วงโมงบ่าย

ว้นนี้ฉันตื่นขึ้นมาราวเจ็ดโมงเช้า ทั้งที่เมื่อคืนนอนตีสาม

รู้สึกหัวหนักเหมือนตุ้มเหล็ก โงแทบจะไม่ขึ้น ปวดข้างในตุ้บ ๆ

แต่ก็ไม่อยากมักง่าย กรอกพาราลงปากแบบขอไปที

เลยบำบัดแบบธรรมชาติแทน ด้วยการตื่นมาล้างหน้าแปลงฟัน

ทำตัวให้มันสดชื่น ดื่มนมอุ่น ๆ ซักแก้ว ก่อนเริ่มต้นภารกิจต่าง ๆ

เสียงคุณติ๊กข้างบ้านตะโกนเรียกลูกสาววัย 3 ขวบเสียงขรม

ให้อาบน้ำไปโรงเรียน โชคดีที่ฉันไม่ต้องมาสาละวนกับไอ้ตัวเล็กของฉัน

เพราะเขามีแม่บังเกิดเกล้าทำให้อยู่แล้ว แม่เลี้ยงอย่างฉันก็เลยรอดตัวไปที

ความจริงฉันก็ชอบนะ...ไอ้บทบาทแม่เลี้ยงเนี้ย

เพราะฉันจะวุ่ยวายกับไอ้ตัวเล็กเฉพาะตอนที่ต้องไปขายของ เขาต้องไปกับฉัน

แล้วก็เรื่องเรียน เรียกว่าอะไรที่เกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก การอบรมมารยาท

การสอนการใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งไหนดีไม่ดี เป็นหน้าที่ฉัน

แต่เรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้าอาภรณ์ อาบน้ำขับถ่าย เป็นหน้าที่แม่เขา

...
...

ฉันชอบ...ช่วงเวลาที่อยู่กับเขา มันทำให้ฉันยิ้มได้

ความไร้เดียงสาของเขา มันทำให้เกลียวปัญหาในใจฉันคลี่คลายไปได้มาก

ความช่างจำนรรจาของเขา มันทำให้ฉันแทบไม่มีเวลาคิด

ว่าชีวิตฉัน sad เรื่องอะไรอยู่

รอยยิ้มของเขา มันทำให้ฉันเผลอยิ้มตามอยู่บ่อย ๆ

ดวงตาของเขา มันทำให้ดวงใจของฉันอ่อนโยนลง

นิ้วก้อยเล็ก ๆ ของเขา ยามที่เอามาเกี่ยวนิ้วก้อยสั้น ๆ ป้อม ๆ ของฉัน

มันทำให้ฉันมีพลังที่จะคิดทำอะไรต่อไปได้อีกมากมาย

...
...

เขาทำให้ฉันรู้ว่า สิ่งใดจะร้ายหรือดี มันอยู่ที่มุมความคิด

บางทีเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน เปลี่ยนไปอย่าง

มหัศจรรย์เลยทีเดียว

รู้สึกอย่างไรที่ชีวิตมีเขา ฉันเองก็ตอบไม่ได้

แต่ถ้าจะถามว่ารู้สึกอย่างไร หากพรุ่งนี้ไม่มีเขาในชีวิต ฉันคงแย่ไปเหมือนกัน

แย่มากทีเดียว.





naitontan

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เวลาเดิม

บ่ายที่แก่กว่าเดิมของวันใหม่

ฉันเพิ่งเสร็จจากอัพบล็อกที่แก๊งค์ เหลือเวลาอีกนิดหน่อย

เลยลากข้อมืออ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อย และก็มาสุดที่นี่

ช่วงนี้ฉันไม่ได้ทำงานแล้ว เพราะมหาวิทยาลัยสอบเสร็จแล้ว

นักศึกษาเตรียมตัวกลับบ้านบ้าง ไปเที่ยวฉลองปีใหม่บ้าง

ฉันก็เลยมีเวลาพักยาว ๆ เป็นอาทิตย์

ปลายปีนี้ฉันคงพาไอ้ตัวเล็กไปเที่ยว ไปแบบไร้จุดหมาย

เจออะไรก็แวะเที่ยวไปเรื่อย ท้ายรถฉันมีเต้นท์ มีปิคนิค

มีถังน้ำแข็ง 250 ลิตร มีน้ำดื่ม แล้วก็ถ้วยโถโอชาม

แก้วน้ำจิปาถะ เวลาตั้งเป็นอาทิตย์ ฉันคงพาไอ้ตัวเล็กเป็นนกขมิ้น

เหลืองอ่อน ค่ำไหนนอนนั่น บินไปบินมา ลั้น ลา ลา ไปทั่ว

ก่อนที่จะไปสุดปลายทางคือ โคราชบ้านแม่ กลับไปไหว้พ่อกับแม่ตอนปีใหม่

ขอพรเสียหน่อย

......
......

สำหรับฉัน ถ้าพูดถึงครอบครัว ฉันก็มีแต่พ่อกับแม่

ฉันรู้สึกว่า นั่นเป็นครอบครัวของฉันจริง ๆ

ส่วนคนที่อยู่ด้วยทุกวัน เห็นกันจนเบื่อขี้หน้า เขาเหมือนเป็นใครก็ไม่รู้

ที่ฉันต้องทน ๆ อยู่กับเขาไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะผ่อนบ้านเสร็จ

แล้วโอนเป็นชื่อฉันให้เรียบร้อย

ฉันไม่เคยนึกเหมือนกัน ว่าฉันจะทนสภาพนี้ได้ แต่ฉันก็ผ่านมันมาได้

ฉันไม่เคยคิดว่าชีวิตฉันจะอยู่ได้ ถ้าขาดคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อยู่ได้

ฉันหลงคิดไปว่า การมีชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก คงมีความสุขที่สุด แต่ฉันคิดผิด

ฉันเคยเข้าใจว่า การให้อภัยคนที่ทำผิด วันหนึ่งเขาจะกลับตัว แต่ก็เปล่า

ฉันรู้สึกว่าแม้วันนี้ฉันจะอายุใกล้ 40 เข้าไปทุกขณะ

แต่เหมือนบางครั้ง ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของฉันยังเหมือนเด็ก ๆ อยู่เลย

ยังมีอะไรที่หลายเรื่องราวที่ฉันคาดไม่ถึง และคิดไม่ถึงว่ามันจะมาเกิดขึ้นกับตัวเอง

แต่เถอะนะ...อย่างน้อยฉันก็เรียนรู้ว่า

การมีชีวิตอยู่กับคนที่เข้าใจเรา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

ดีกว่าอยู่ร่วมกับคนที่เรียกว่า คนรักหรือคู่ชีวิต

ที่เขาไม่เคยมีความเข้าใจให้เราเลย

การที่คิดว่าอยู่แบบหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วมันจะตาย

ที่ไหนได้ มันมีความสุขดีเหมือนกัน เพราะอยากทำอะไรก็ได้ทำ

อยากไปไหนก็ได้ไป ไม่ต้องไปแคร์ใครทั้งสิ้น

มันทำให้ฉันรู้ว่า ในเรื่องลบ ๆ...มันก็มีมุมบวก ๆ ผสมอยู่เสมอ

ถ้าเราจะเปิดตาเปิดใจมองมันอย่างละเอียดลออ

ไม่มัวแต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่สำคัญหรือคนที่ไม่สำคัญอยู่

และทำให้ฉันรู้ว่า ประสบการณ์บางเรื่อง..เงินซื้อไม่ได้

บางครั้งเกือบต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตแลกมาเลยทีเดียว

วันนี้...ฉันรักตัวเองมากขึ้น ดูแลตัวเองเป็น และเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้เสียที

ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร





naitontan....

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คล้อยบ่าย...

วันแรก ๆ ที่ฉันสัมผัสที่นี่ ฉันมาเพราะน้องคนหนึ่งชักชวน

ณ วันนั้น มีเพื่อน ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ 3-4 คน แต่พอนาน ๆ ไป

จนมาถึงวันนี้ ณ ที่แห่งนี้ดูเวิ้งว้าง ว่างเปล่า

จะอยู่ต่อมั้ย ... อ๋อ แน่นอน ฉันคงแวะเวียนมาเรื่อย ๆ

แม้ไม่มีใคร...ไม่เหลือใคร อย่างน้อยฉันก็ยังเหลือตัวเอง

อย่างน้อย ฉันก็มีเวลาที่จะหยุดคิด และเขียนอะไร ๆ ที่ฉันอยากเขียน อยากบ่น

อย่างน้อย ฉันก็เข้ามา เมื่อหัวใจฉันร่ำร้องเต้นหวอย ๆ อยากจะเข้ามา

และเข้ามาแบบสบายใจ ว่าเราไม่ได้ทิ้งห่างไป จนทำให้ใครรอคอย

เหมือนกับเราไม่เทคแคร์ความรู้สึกใคร แม้วันนี้ ที่แห่งนี้จะดูร้าง ๆ ไปบ้าง

แต่ก็ยังไม่ไร้ซึ่งงุ้มเงาซะทีเดียว

ในความเงียบ...

ฉันรู้สึกสงบ

ไม่ต้องเทคแคร์ความรู้สึกใคร

ไม่ใช่ฉันไม่ต้องการใคร แต่มันก็แค่บางทีเท่านั้น

ที่ความรู้สึกแบบนี้บังเกิดขึ้นในสมองซีกซ้ายสุดของฉัน

บางครั้ง ฉันมีความรู้สึกว่าอยากมีสักที่

ที่ฉันได้อยู่กับตัวเอง เขียนอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ให้ใครที่ไม่รู้จักได้บังเอิญมาอ่าน ไม่ใช่คนที่รู้จักฉันดีเสียทุกซอกทุกมุมของชีวิต

หลังจากนั้นก็แสดงความคิดเห็นด้วยความเวทนาสงสาร

บางครั้งฉันก็ไม่ต้องการกำลังใจจากใคร นอกจากสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง

ซึ่งฉันทำได้...และทำได้ดี

ฉันแค่เพียงอยากระบาย มันเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ฉันเข้มแข็ง

ฉันแค่เพียงหาที่สักแห่ง เพื่อให้ชีวิตได้ผ่อนระบาย

แต่ฉันไม่ต้องการใคร...ไม่ต้องการ

เหมือนที่ในชีวิตจริง ฉันไม่เคยมีใคร



naitontan...

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อยากจะปาย...ทำไงจะได้ไป


To ....My Friends

วันนี้เรานั่งจุ้มปุ้กอยู่หน้าคอม กวาดสายตาอ่านข้อมูลตามเว็ปต่าง ๆ

เกี่ยวกับเมืองปาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง เส้นทาง แผนการแวะเที่ยว

ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งถ้าหากได้ไป ทริปนี้เรามีเวลา 1 อาทิตย์เต็ม

พอตาเริ่มลาย ๆ ก็เปลี่ยนมาอ่านพ็อกเก็ตบุ๊คเมืองปายบ้าง

สลับไปสลับมา แต่ก็ยังไม่ทำให้รู้สึกมั่นใจกับการเดินทาง

เพราะเราต้องขับไปเอง และคนขับเดียวไม่มีคนเปลี่ยน

จากชลบุรีถึงแม่ฮ่องสอนดูจะเป็นงานหินไม่ใช่น้อย

ประกอบกับไม่คุ้นเคยเส้นทาง ไม่มีประสบการณ์ขึ้นเขาขึ้นดอย

อะไรมากนัก เคยไปก็แค่อำเภอแม่สอด จังหวัดตากที่วกวนไม่เท่าไหร่

แต่สำหรับปาย เห็นเค้าว่าวนเวียนเป็นตัวเอส จนถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า

"เมา+หลับ= ปาย"

อันที่จริงเรามีเพื่อนอยู่ที่เมืองปาย 1 คน เป็นเพื่อนที่สนิทมาก

แต่ตอนนี้เค้าถูกส่งตัวไปอบรมเรื่องระบบการศึกษาแผนใหม่ที่มาเลเซีย

ที่พึ่งสุดท้ายของเราก็เลยหายวับไปกับตา

ทำให้นึกถึงเพื่อนคนสุดท้ายที่น่าจะพึ่งได้ ก็คือเพื่อน ๆ ในบล็อก

เหมือนที่ทุกครั้งชีวิตมีปัญหาอะไร พอเข้าบล็อก ความยุ่งยาก

ของชีวิตก็จะบรรเทาเบาบางทุกครั้งไป

..........

เหตุผลของการไปปาย ก็ไม่มีอะไรมาก...อยากปายก็ไป

ไม่ได้ไปตามกระแสฟีเวอร์ ว่าเอาน่ะ...ตรูขอไปสักครั้ง

จะได้เอาไปคุยว่าตรูไปมาแว๊ววว

เพียงแต่ในชีวิต ก็มีที่ที่อยากจะไปสักครั้ง ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่ที่

อย่างภูกระดึง ก็อยากจะไปดูสักครั้ง ซึ่งก็ไปมาตอนอายุ 32

และปาย ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่แอบจดไว้ในใจเท่านั้นเอง

..........

ในการเดินทางครั้งนี้ จะไปกับอีซูซุ Dmax เครื่อง 2500

อายุการใช้นานก็ประมาณ 5 ปีกว่า เป็นDmax ปี 47 อ่ะค่ะ

ระยะทางการวิ่งผ่านมา 138000 กก

ขับเคลื่อนแค่ 2 ล้อหน้า จะไปไหวมั้ยคะเนี่ย...ถ้าจะขึ้นไปปาย

สภาพรถก็เพิ่งเปลี่ยรคลัทซ์ไป และก็เพิ่งเปลี่ยนยางเมื่อต้นธันวานี้เอง

ถ้าเพื่อน ๆ ท่านใดพอมีประสบการณ์ หรือคำแนะนำ

รบกวนฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ เช่นเลี้ยวปั๊บก็ขึ้นเขาเลย

เลี้ยวปั๊บหักลงเลย ควรขับประมาณไหนดี

From....naitontan

คนที่แอบหลงรักปายมาเนิ่นนาน

ปล 1...เป็นกังวลเรื่องเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย มากกว่าเรื่องรถ

อยากได้คำแนะนำเทคนิคการขับรถกับเส้นทางตัวเอสมากเลยอ่ะ

ปล 2...เพื่อนท่านใดที่ไม่ได้ขับรถไปเอง แต่มีประสบการณ์ที่อยากบอกเล่า

ก็ยินดีรับทุกคำแนะนำนะคะ ไม่แน่ปีใหม่นี้ คุณกับเราอาจพบกันที่ปายก็ได้

ใครจะรู้

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ