วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คริสมาสต์ของ 2 เรา

วันนี้เป็นวันบ็อกซิ่งเดย์ ไม่ใช่วันชิงแชมป์ชกมวยแต่ประการใด

แต่เป็นวันที่พวกฝรั่งเค้าเรียกกันว่าวันแกะกล่องของขวัญ

ไอ้ส่วนฉัน ก็ไม่ใช่คนไทยที่เข้าข่ายเห่อเหิมตามฝรั่งแต่ประการใด

เพียงแต่ว่าไอ้ตัวเล็กเค้าได้รับอิทธิพลมาจากโรงเรียนหน่อยนึง

ฉันก็เลยต้องมีของขวัญ 1 กล่องสำหรับเขา

บ้านเราไม่ได้เป็นอาณานิคมของฝรั่งแต่ประการใด

แต่ก็ไม่วายประดับประดาตกแต่งต้นคริสมาสต์ตามฝรั่งเค้าไปด้วย

ความที่ชอบส่วนตัว ว่ามันสวยดี

ที่บ้านฉันจึงมีต้นคริสมาสต์สูงประมาณ 5 ฟุตอยู่ต้นหนึ่ง

ใช้มาหลายปีแล้ว ทนทาญาติ ไม่ร่วงไม่พังสักที

ซื้อพร้อม ๆ กับที่ซื้อบ้านหลังที่อยู่ปัจจุบัน

เมื่อคริสมาสต์อีฟที่ผ่านมา ฉันช่วยกันกับไอ้ตัวเล็กตกแต่งต้นคริสมาสต์ของเรา

ฉันนั่งมองดูเขาบรรจงหยิบซานตาครอสตัวเล็ก ๆ แล้วอมยิ้ม

"นี่เรียกซานต้าคับคุณแม่เอ" เขาบอกฉันด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

"รู้ดีจริง" ฉันกระแหนะกระแหน

"ช่ายยย รู้ดีจริง" เขาทวนคำพูดฉันพร้อมพยักเพยิดทำหน้างึกงักขึ้นลง

ฉันอดขำไม่ได้ ไม่ได้รู้เลยนะว่าถูกเหน็บน่ะ

"ตะวันชอบวันคริสมาสต์เหรอลูก"

"ชอบซี่" รีบหันมาบอก

"ทำไม"

"....." เขาเงียบ ทำหน้าตาคิดหนัก

"ว่าไงล่ะ ทำไมถึงชอบ" ฉันเร่งรัด

"มันสวยดี" เขาบอกในที่สุด

ฉันดึงเขามากอด เหตุผลที่เขาคิดขึ้นมาได้ในตอนนั้น

เพราะนึกอะไรไม่ออก คำตอบจึงไม่ซับซ้อน

ฉันนั่งเล่าประวัติวันคริสมาสต์สั้น ๆ ให้เขาฟัง เล่าว่าซานต้าคือใคร

มีหน้าทีอะไร แล้วมีความสนุกอะไรบ้างในวันคริสมาสต์

เราสองคนใช้ช่วงเวลาเฉลิมฉลองกันถึงเที่ยงคืน ในที่สุดเขาก็หลับไป

บ้านทั้งบ้านเริ่มเงียบ ฉันดับไฟทุกดวงในบ้าน เปลี่ยนมาจุดเทียนหอมแทน

ฉันนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา มีวอมไฟจากเทียนเล่มเล็ก ๆ เป็นเพื่อน

ความสุขเล็ก ๆ ที่เรียบง่าย และงดงาม

เกิดขึ้นได้ทุกบ่อย ยามฉันอยู่กับเขา เจ้าเซเซ่ตัวน้อยของแม่







naitontan.

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อีกครึ่งช่วงโมงบ่าย

ว้นนี้ฉันตื่นขึ้นมาราวเจ็ดโมงเช้า ทั้งที่เมื่อคืนนอนตีสาม

รู้สึกหัวหนักเหมือนตุ้มเหล็ก โงแทบจะไม่ขึ้น ปวดข้างในตุ้บ ๆ

แต่ก็ไม่อยากมักง่าย กรอกพาราลงปากแบบขอไปที

เลยบำบัดแบบธรรมชาติแทน ด้วยการตื่นมาล้างหน้าแปลงฟัน

ทำตัวให้มันสดชื่น ดื่มนมอุ่น ๆ ซักแก้ว ก่อนเริ่มต้นภารกิจต่าง ๆ

เสียงคุณติ๊กข้างบ้านตะโกนเรียกลูกสาววัย 3 ขวบเสียงขรม

ให้อาบน้ำไปโรงเรียน โชคดีที่ฉันไม่ต้องมาสาละวนกับไอ้ตัวเล็กของฉัน

เพราะเขามีแม่บังเกิดเกล้าทำให้อยู่แล้ว แม่เลี้ยงอย่างฉันก็เลยรอดตัวไปที

ความจริงฉันก็ชอบนะ...ไอ้บทบาทแม่เลี้ยงเนี้ย

เพราะฉันจะวุ่ยวายกับไอ้ตัวเล็กเฉพาะตอนที่ต้องไปขายของ เขาต้องไปกับฉัน

แล้วก็เรื่องเรียน เรียกว่าอะไรที่เกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก การอบรมมารยาท

การสอนการใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งไหนดีไม่ดี เป็นหน้าที่ฉัน

แต่เรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้าอาภรณ์ อาบน้ำขับถ่าย เป็นหน้าที่แม่เขา

...
...

ฉันชอบ...ช่วงเวลาที่อยู่กับเขา มันทำให้ฉันยิ้มได้

ความไร้เดียงสาของเขา มันทำให้เกลียวปัญหาในใจฉันคลี่คลายไปได้มาก

ความช่างจำนรรจาของเขา มันทำให้ฉันแทบไม่มีเวลาคิด

ว่าชีวิตฉัน sad เรื่องอะไรอยู่

รอยยิ้มของเขา มันทำให้ฉันเผลอยิ้มตามอยู่บ่อย ๆ

ดวงตาของเขา มันทำให้ดวงใจของฉันอ่อนโยนลง

นิ้วก้อยเล็ก ๆ ของเขา ยามที่เอามาเกี่ยวนิ้วก้อยสั้น ๆ ป้อม ๆ ของฉัน

มันทำให้ฉันมีพลังที่จะคิดทำอะไรต่อไปได้อีกมากมาย

...
...

เขาทำให้ฉันรู้ว่า สิ่งใดจะร้ายหรือดี มันอยู่ที่มุมความคิด

บางทีเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน เปลี่ยนไปอย่าง

มหัศจรรย์เลยทีเดียว

รู้สึกอย่างไรที่ชีวิตมีเขา ฉันเองก็ตอบไม่ได้

แต่ถ้าจะถามว่ารู้สึกอย่างไร หากพรุ่งนี้ไม่มีเขาในชีวิต ฉันคงแย่ไปเหมือนกัน

แย่มากทีเดียว.





naitontan

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เวลาเดิม

บ่ายที่แก่กว่าเดิมของวันใหม่

ฉันเพิ่งเสร็จจากอัพบล็อกที่แก๊งค์ เหลือเวลาอีกนิดหน่อย

เลยลากข้อมืออ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อย และก็มาสุดที่นี่

ช่วงนี้ฉันไม่ได้ทำงานแล้ว เพราะมหาวิทยาลัยสอบเสร็จแล้ว

นักศึกษาเตรียมตัวกลับบ้านบ้าง ไปเที่ยวฉลองปีใหม่บ้าง

ฉันก็เลยมีเวลาพักยาว ๆ เป็นอาทิตย์

ปลายปีนี้ฉันคงพาไอ้ตัวเล็กไปเที่ยว ไปแบบไร้จุดหมาย

เจออะไรก็แวะเที่ยวไปเรื่อย ท้ายรถฉันมีเต้นท์ มีปิคนิค

มีถังน้ำแข็ง 250 ลิตร มีน้ำดื่ม แล้วก็ถ้วยโถโอชาม

แก้วน้ำจิปาถะ เวลาตั้งเป็นอาทิตย์ ฉันคงพาไอ้ตัวเล็กเป็นนกขมิ้น

เหลืองอ่อน ค่ำไหนนอนนั่น บินไปบินมา ลั้น ลา ลา ไปทั่ว

ก่อนที่จะไปสุดปลายทางคือ โคราชบ้านแม่ กลับไปไหว้พ่อกับแม่ตอนปีใหม่

ขอพรเสียหน่อย

......
......

สำหรับฉัน ถ้าพูดถึงครอบครัว ฉันก็มีแต่พ่อกับแม่

ฉันรู้สึกว่า นั่นเป็นครอบครัวของฉันจริง ๆ

ส่วนคนที่อยู่ด้วยทุกวัน เห็นกันจนเบื่อขี้หน้า เขาเหมือนเป็นใครก็ไม่รู้

ที่ฉันต้องทน ๆ อยู่กับเขาไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะผ่อนบ้านเสร็จ

แล้วโอนเป็นชื่อฉันให้เรียบร้อย

ฉันไม่เคยนึกเหมือนกัน ว่าฉันจะทนสภาพนี้ได้ แต่ฉันก็ผ่านมันมาได้

ฉันไม่เคยคิดว่าชีวิตฉันจะอยู่ได้ ถ้าขาดคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อยู่ได้

ฉันหลงคิดไปว่า การมีชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก คงมีความสุขที่สุด แต่ฉันคิดผิด

ฉันเคยเข้าใจว่า การให้อภัยคนที่ทำผิด วันหนึ่งเขาจะกลับตัว แต่ก็เปล่า

ฉันรู้สึกว่าแม้วันนี้ฉันจะอายุใกล้ 40 เข้าไปทุกขณะ

แต่เหมือนบางครั้ง ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของฉันยังเหมือนเด็ก ๆ อยู่เลย

ยังมีอะไรที่หลายเรื่องราวที่ฉันคาดไม่ถึง และคิดไม่ถึงว่ามันจะมาเกิดขึ้นกับตัวเอง

แต่เถอะนะ...อย่างน้อยฉันก็เรียนรู้ว่า

การมีชีวิตอยู่กับคนที่เข้าใจเรา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

ดีกว่าอยู่ร่วมกับคนที่เรียกว่า คนรักหรือคู่ชีวิต

ที่เขาไม่เคยมีความเข้าใจให้เราเลย

การที่คิดว่าอยู่แบบหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วมันจะตาย

ที่ไหนได้ มันมีความสุขดีเหมือนกัน เพราะอยากทำอะไรก็ได้ทำ

อยากไปไหนก็ได้ไป ไม่ต้องไปแคร์ใครทั้งสิ้น

มันทำให้ฉันรู้ว่า ในเรื่องลบ ๆ...มันก็มีมุมบวก ๆ ผสมอยู่เสมอ

ถ้าเราจะเปิดตาเปิดใจมองมันอย่างละเอียดลออ

ไม่มัวแต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่สำคัญหรือคนที่ไม่สำคัญอยู่

และทำให้ฉันรู้ว่า ประสบการณ์บางเรื่อง..เงินซื้อไม่ได้

บางครั้งเกือบต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตแลกมาเลยทีเดียว

วันนี้...ฉันรักตัวเองมากขึ้น ดูแลตัวเองเป็น และเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้เสียที

ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร





naitontan....

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คล้อยบ่าย...

วันแรก ๆ ที่ฉันสัมผัสที่นี่ ฉันมาเพราะน้องคนหนึ่งชักชวน

ณ วันนั้น มีเพื่อน ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ 3-4 คน แต่พอนาน ๆ ไป

จนมาถึงวันนี้ ณ ที่แห่งนี้ดูเวิ้งว้าง ว่างเปล่า

จะอยู่ต่อมั้ย ... อ๋อ แน่นอน ฉันคงแวะเวียนมาเรื่อย ๆ

แม้ไม่มีใคร...ไม่เหลือใคร อย่างน้อยฉันก็ยังเหลือตัวเอง

อย่างน้อย ฉันก็มีเวลาที่จะหยุดคิด และเขียนอะไร ๆ ที่ฉันอยากเขียน อยากบ่น

อย่างน้อย ฉันก็เข้ามา เมื่อหัวใจฉันร่ำร้องเต้นหวอย ๆ อยากจะเข้ามา

และเข้ามาแบบสบายใจ ว่าเราไม่ได้ทิ้งห่างไป จนทำให้ใครรอคอย

เหมือนกับเราไม่เทคแคร์ความรู้สึกใคร แม้วันนี้ ที่แห่งนี้จะดูร้าง ๆ ไปบ้าง

แต่ก็ยังไม่ไร้ซึ่งงุ้มเงาซะทีเดียว

ในความเงียบ...

ฉันรู้สึกสงบ

ไม่ต้องเทคแคร์ความรู้สึกใคร

ไม่ใช่ฉันไม่ต้องการใคร แต่มันก็แค่บางทีเท่านั้น

ที่ความรู้สึกแบบนี้บังเกิดขึ้นในสมองซีกซ้ายสุดของฉัน

บางครั้ง ฉันมีความรู้สึกว่าอยากมีสักที่

ที่ฉันได้อยู่กับตัวเอง เขียนอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ให้ใครที่ไม่รู้จักได้บังเอิญมาอ่าน ไม่ใช่คนที่รู้จักฉันดีเสียทุกซอกทุกมุมของชีวิต

หลังจากนั้นก็แสดงความคิดเห็นด้วยความเวทนาสงสาร

บางครั้งฉันก็ไม่ต้องการกำลังใจจากใคร นอกจากสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง

ซึ่งฉันทำได้...และทำได้ดี

ฉันแค่เพียงอยากระบาย มันเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ฉันเข้มแข็ง

ฉันแค่เพียงหาที่สักแห่ง เพื่อให้ชีวิตได้ผ่อนระบาย

แต่ฉันไม่ต้องการใคร...ไม่ต้องการ

เหมือนที่ในชีวิตจริง ฉันไม่เคยมีใคร



naitontan...

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อยากจะปาย...ทำไงจะได้ไป


To ....My Friends

วันนี้เรานั่งจุ้มปุ้กอยู่หน้าคอม กวาดสายตาอ่านข้อมูลตามเว็ปต่าง ๆ

เกี่ยวกับเมืองปาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง เส้นทาง แผนการแวะเที่ยว

ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งถ้าหากได้ไป ทริปนี้เรามีเวลา 1 อาทิตย์เต็ม

พอตาเริ่มลาย ๆ ก็เปลี่ยนมาอ่านพ็อกเก็ตบุ๊คเมืองปายบ้าง

สลับไปสลับมา แต่ก็ยังไม่ทำให้รู้สึกมั่นใจกับการเดินทาง

เพราะเราต้องขับไปเอง และคนขับเดียวไม่มีคนเปลี่ยน

จากชลบุรีถึงแม่ฮ่องสอนดูจะเป็นงานหินไม่ใช่น้อย

ประกอบกับไม่คุ้นเคยเส้นทาง ไม่มีประสบการณ์ขึ้นเขาขึ้นดอย

อะไรมากนัก เคยไปก็แค่อำเภอแม่สอด จังหวัดตากที่วกวนไม่เท่าไหร่

แต่สำหรับปาย เห็นเค้าว่าวนเวียนเป็นตัวเอส จนถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า

"เมา+หลับ= ปาย"

อันที่จริงเรามีเพื่อนอยู่ที่เมืองปาย 1 คน เป็นเพื่อนที่สนิทมาก

แต่ตอนนี้เค้าถูกส่งตัวไปอบรมเรื่องระบบการศึกษาแผนใหม่ที่มาเลเซีย

ที่พึ่งสุดท้ายของเราก็เลยหายวับไปกับตา

ทำให้นึกถึงเพื่อนคนสุดท้ายที่น่าจะพึ่งได้ ก็คือเพื่อน ๆ ในบล็อก

เหมือนที่ทุกครั้งชีวิตมีปัญหาอะไร พอเข้าบล็อก ความยุ่งยาก

ของชีวิตก็จะบรรเทาเบาบางทุกครั้งไป

..........

เหตุผลของการไปปาย ก็ไม่มีอะไรมาก...อยากปายก็ไป

ไม่ได้ไปตามกระแสฟีเวอร์ ว่าเอาน่ะ...ตรูขอไปสักครั้ง

จะได้เอาไปคุยว่าตรูไปมาแว๊ววว

เพียงแต่ในชีวิต ก็มีที่ที่อยากจะไปสักครั้ง ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่ที่

อย่างภูกระดึง ก็อยากจะไปดูสักครั้ง ซึ่งก็ไปมาตอนอายุ 32

และปาย ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่แอบจดไว้ในใจเท่านั้นเอง

..........

ในการเดินทางครั้งนี้ จะไปกับอีซูซุ Dmax เครื่อง 2500

อายุการใช้นานก็ประมาณ 5 ปีกว่า เป็นDmax ปี 47 อ่ะค่ะ

ระยะทางการวิ่งผ่านมา 138000 กก

ขับเคลื่อนแค่ 2 ล้อหน้า จะไปไหวมั้ยคะเนี่ย...ถ้าจะขึ้นไปปาย

สภาพรถก็เพิ่งเปลี่ยรคลัทซ์ไป และก็เพิ่งเปลี่ยนยางเมื่อต้นธันวานี้เอง

ถ้าเพื่อน ๆ ท่านใดพอมีประสบการณ์ หรือคำแนะนำ

รบกวนฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ เช่นเลี้ยวปั๊บก็ขึ้นเขาเลย

เลี้ยวปั๊บหักลงเลย ควรขับประมาณไหนดี

From....naitontan

คนที่แอบหลงรักปายมาเนิ่นนาน

ปล 1...เป็นกังวลเรื่องเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย มากกว่าเรื่องรถ

อยากได้คำแนะนำเทคนิคการขับรถกับเส้นทางตัวเอสมากเลยอ่ะ

ปล 2...เพื่อนท่านใดที่ไม่ได้ขับรถไปเอง แต่มีประสบการณ์ที่อยากบอกเล่า

ก็ยินดีรับทุกคำแนะนำนะคะ ไม่แน่ปีใหม่นี้ คุณกับเราอาจพบกันที่ปายก็ได้

ใครจะรู้

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ




ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมากในหนังสือ

'ขอบคุณสรรพสิ่ง' 'ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ

หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์

คือ การเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว

' ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง 'ธรรมดา' เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน

ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิม ๆ

ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิม ๆ

ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดา ๆ...

เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดา ๆ

กันทั้งนั้น แต่ถ้าความธรรมดานี้หมดไปล่ะ?

เช่น อยู่ดี ๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงาน

ที่เราเบื่อแสนเบื่อ...เรื่องก็จะ 'ไม่ธรรมดา' ไปในทันที

และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมา คิดเสียดายความ 'ธรรมดา'

จนใจแทบจะขาด... ให้เรารีบชื่นชมกับความ 'ธรรมดา'

ที่เรามี และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล

เพราะสิ่งธรรมดา ๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/19287.html

...
...

เราเองก็รู้สึกเห็นจริงตามท่านติช

และรู้สึกเช่นนี้มาตั้งแต่ตอนที่ดูกาตูนย์

เรื่องกังฟูแพนด้าของน้องตะวันแล้ว

ชาวหุบเขานักรบต้องการหานักรบมังกร

เพื่อที่จะไปปราบไต้ลุง ลูกศิษย์จอมเกรเรของอาจารย์ชิฟู

คนที่เป็นนักรบมังกรก็จะได้คัมภีร์ขั้นสุดยอดไปฝึก

แต่พอแพนด้าได้เป็นนักรบมังกร และได้รับคัมภีร์

ข้างในนั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีเคล็ดลับวิชาใด ๆ ทั้งสิ้น

ทุกคนต่างพากันแปลกใจ ทำไมจึงไม่พบเคล็ดลับสุดยอดวิชา

และแพนด้าก็ได้เรียนรู้ว่าไม่มีเคล็ดลับหรือสูตรวิชาสุดยอดใด ๆ

มีก็เพียงตัวเรา ขอเพียงเรามั่นใจว่าเราคือสิ่งพิเศษ เราต้องทำได้

เราคือสุดยอดแห่งเคล็ดลับวิชานั่นเอง

...
...

ซึ่งมันก็คล้าย ๆ กับที่ท่านติชกล่าวไว้ ในความธรรมดาที่เรา

พบเห็นเป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากวันใดมีการเปลี่ยนแปลงไป

บางครั้งอาจทำเราถึงกับหัวใจจวนเจียนสลายได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ในแต่ละวัน...ที่เราลืมตาตื่นขึ้นมา พบกับความธรรมดา

เราจึงควรซึมซับรู้คุณค่า และมองให้พบสิ่งพิเศษเสียแต่บัดนี้

ก่อนที่เราจะสูญเสียมันไป อย่ารอให้ความธรรมดากลายเป็น

สิ่งพิเศษอยู่เลย แต่จงทำให้มันเป็นสิ่งพิเศษสำหรับเราทุกวัน ๆ

จะดีกว่า เราบอกตัวเองแบบนั้น และอยากบอกคนที่เรารู้สึกดี

แบบนั้นเช่นกัน



บันทึกไว้ ณ เที่ยงวันพฤหัสบดี

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ฟ้ากว้าง




เคยบ้างไหม
ที่จะนั่งเฉย ๆ แล้วเงยหน้า
ขึ้นมองฟ้ากว้างสีคราม
มองปุยเมฆสีขาวลอยไป…ลอยมา
มองนกที่บินผ่านไป
มองอะไรต่อมิอะไร…มากมาย
ท้องฟ้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ของคนนั้นสีเทา ๆ เหมือนฝนจะตก
ของคนโน้นสีเหลืองส้ม ๆ แบบยามเย็น
ของคนนี้เป็นสีฟ้าจัดจ้าสดใส
ก็แต่ละคนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าไม่พร้อมกัน
คิดไหมว่า…
การเงยหน้ามองท้องฟ้า
มัน…เหมือนกับการมองชีวิตตนเอง
ท้องฟ้าเป็นสิ่งใกล้ตัว
ไม่มีมันเราก็อยู่ไม่ได้
เหมือนไม่มีชีวิตนั่นแหละ
แต่หลาย ๆ คนมักมองข้ามท้องฟ้า
ไม่สนใจว่ามีอะไรผ่านไปในฟ้ากว้างสี ครามวันนี้บ้าง
วันนี้มีเค้าพายุไหม
หลายคนไม่รู้…รู้อีกทีฝนก็ตกเสียแล้ว
วันนี้เมฆมากไหม
หลายคนไม่รู้…รู้อีกทีก็คือไม่มีแดด
การมองข้ามท้องฟ้า…ก็คล้าย ๆ กับการมองข้ามชีวิตตัวเอง
คิดอย่างนั้นบ้างไหม
หลายคนลืมที่จะกลับมานั่งมองทบทวน
ว่ามีอะไรบ้างผ่านเข้า มาในชีวิตของเราเอง
เวลาที่ผ่านมา…ท้องฟ้าของเราเผชิญมรสุมกี่ครั้ง
แดดออกสดใส…ไร้เมฆกี่ครั้ง
มีสายรุ้งมาแต้มแต่งให้งดงามแล้วอีกครั้ง
หลายคนลืมเงยหน้าขึ้นมอง
มัวแต่ก้มหน้าสำรวจพื้นดิน
ปล่อยให้ท้องฟ้า…อยู่ข้างบนอย่างนั้น
มัวแต่ตัดสินใจ…จะไปทางไหนดี
ตัดสินใจ…โดยเอาใจเป็นใหญ่
ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองแล้วใช้สมองคิด
ว่าวันนี้มีฝนทางซ้าย …ฉันควรไปทางขวา
ว่าวันนี้มีเมฆมากข้างหน้า…ฉันควรรอตรงนี้สักพัก
เชื่อไหมว่า…หลายคนลืมทำแบบที่ฉันว่า
และคนแบบนี้เอง…ที่ลืมทั้งอดีตและอนาคต
พักซะบ้าง …เงยหน้าขึ้นมองสำรวจท้องฟ้า
เห็นอะไรบนนั้น
อย่างน้อยจะได้รู้ว่า
อดีตที่ผ่านมา…ผิดพลั้งแค่ไหน
หรือปัจจุบัน …มีความสุขดีไหม
ควรหยุดอยู่ตรงนี้หรือก้าวไปข้างหน้า
มองท้องฟ้า …อ่านชีวิตตัวเองให้ออก
อย่าพยายามควบคุม…แต่ก็อย่าละเลยไม่สนใจ
…วันนี้ท้องฟ้าของเธอสวยไหม…คนดี…

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันว่าง





ใจหลุดลอยหวังคอยหยุดที่สุดสาย

มิอาจหมายห้ามสายใจอย่าไกลห่าง

แม้นไร้ทิศไร้สิทธิ์ลิขิตทาง

แต่ก็วาง....เขตหัวใจ....ให้รู้แดน

...
...


ความสุขง่าย ๆ กับวันว่างที่เหลืออยู่

คือการชงน้ำแดงโซดาเย็นเจี๊ยบซักแก้ว

แล้วมานั่งเปิดบล็อกอ่านเรื่องราวความเป็นไปของผองเพื่อน

ต่อจากนั้นก็เข้าเว็ปเกี่ยวกับพัฒนาการความคิดเด็กปฐมวัย

ซึ่งอย่างหลังนี่ ดึงความสนใจเราให้จมอยู่ได้นานเป็นหลายชั่วโมง

จนบางทีเจ้าตัวเล็กต้องวิ่งมาชะโงกดูบ่อย ๆ

ว่าเรานั่งจุ้มปุ๊กทำอะไรอยู่นานนักหนา

เพราะเค้าหาคนเล่นต่อภาพ ต่อคำ ที่ถูกใจไม่ได้นั่นเอง

เรามองเค้าเตรียมบัตรคำ เห็นดวงตาแป๋ว ๆ ระยิบระยับอย่างรอคอย

"ยังไม่ว่างเลยอ่ะ รอก่อนได้ป่ะ"

ลองต่อลองดูหน่อย เพราะยังรู้สึกสนุกกับการอ่านสาระดี ๆ อยู่เลย

ดวงตาแป๋ว ๆ หมองไปนิด แต่ครู่เดียวก็พยักหน้าหงึกงักจำยอม

เราแกล้งหันความสนใจกลับมาที่หน้าคอมตามเดิม

แอบดูว่า พ่อตัวดีจะทำอะไรต่อไป

อืม...เดินไปหยิบสีน้ำมาเตรียมไว้เลย สมุดระบายภาพเล่มใหญ่

เค้าเป็นเด็กชอบระบายสีมาก ๆ รายนี้ ไม่ว่าจะสีน้ำ สีไม้ สีเทียน

ล้วนโปรดปรานทุกประเภท สมุดระบายสีแม็คควีนของวอลดิสนีย์

คือเล่มสุดโปรดของเค้า แต่ทุกอย่างจะเริ่มก็ต่อเมื่อมีเรา

...

...

เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ทำให้หัวใจเรากระชุ่มกระชวยจริง ๆ

มันรู้สึกดี ที่รู้ว่า...มีใครสักคนต้องการเรา และใครก็แทนไม่ได้

ต้องเป็นเราคนเดียวเท่านั้น มันอุ่นหัวใจวาบ ๆ ดีอยู่น้อยเสียเมื่อไหร่

ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเรา ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย

ไม่มีสายใย ไม่มีสายเลือดความสัมพันธ์ ไม่มีสิ่งใด

นอกจากความผูกพัน ที่เรามีให้ต่อกัน พัฒนาไปตามกลไกของกาลเวลา

มันทำให้เรารู้สึกภูมิใจ เหมือนกำลังปลูกต้นไม้สักต้น

เริ่มตั้งแต่เพาะเมล็ด พรวนดิน ดูแล...จนค่อย ๆ แตกออกมาเป็นต้นอ่อน

...
...

ชีวิตเงียบ ๆ สงบ ๆ ที่วันหนึ่ง ๆ ทำแต่งาน ๆ ๆ หาแต่เงิน ๆ ๆ

เพื่อสร้างไอ้นั่น ไอ้นี่...ค่อยเริ่มมีสีสัน

จากเดินห้างดูเสื้อผ้า DVD CD เพลง

กลายเป็นเดินเข้าร้านหนังสือ ตรงดิ่งไปที่มุมพัฒนาการเด็ก

บ้านช่องก็มีแต่ของเล่น อุลตร้าแมน มดเอ็กซ์ รถของเล่นสารพัดรูปแบบ

เครื่องออกกำลังกายพวกดัมเบล พวกนวมสำหรับชกมวย

เคยทำกับข้าวกิน ก็เปลี่ยนมาเข้าพิซซ่ามั่ง KFC มั่ง MK มั่ง

ก็รู้ว่าไม่ค่อยมีสารอาหารอะไร แต่หัวใจนำทางซะแล้วน่ะ

พอเจ้าตาแป๋วมายุ มาเชียร์ ก็พากันไป

ลูกก็ไม่ใช่ลูกนะเนี่ย...แต่ก็รักจะตายล่ะ

แต่ถึงจะรักตายยังไง ก็ไม่เคยคิดแม้แต่แว่บเดียวว่าอยากให้เป็นลูก

มีความรู้สึกว่าไม่อยากจะมีหรอก ไม่อยากรับภาระเต็ม ๆ

อยากเป็นแบบนี้แหละ แค่คนช่วยดูแลก็สุขถมไปแล้ว

ขืนมีลูกขึ้นมาจริง ๆ ความสงบสุขคงจะหายไปจากชีวิตยิ่งกว่านี้

ที่สำคัญมีคนสัญญาว่าจะให้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์แล้วน่ะสิ

เราอมยิ้มกับคำพูดเจ้าตาแป๋ว เด็กแค่ 4 ขวบเอง

พูดเสียชื่นใจ หรือจะติดนิยาย "ชิงชัง" มากเกินไปใน

ช่วงนี้ตัวละครที่เป็นหลานกำลังบวชทดแทนพระคุณให้ยายอยู่

เลยอินก็ไม่รู้ แต่ยังก็สุขใจอยู่ดีล่ะนะ

ชีวิตคนเรา...แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว


บันทึกไว้ ณ บ่ายวันอังคาร

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ในเหตุผลคือความว่างเปล่าไร้ซึ่งเหตุผล






If you always do what interests you,


then at least one person is ploased.


...

...


บางครั้งมันก็เป็นการยาก ที่เราจะต้องทำใจ


ให้เข้าใจกับเหตุผลของใครบางคน


ทั้งที่ถ้านั่นเป็นเหตุผลของเรา...เรามักคิดว่ามันดูเพอร์เฟ็ค


ทั้งที่ความจริง มันอาจดูเป็นเหตุผลงี่เง่าในความรู้สึกคนอื่น


แต่ตัวเรา...ก็มักคิดไปว่ามันเข้าท่าเสมอ


ดูมีสาระ เป็นเหตุเป็นผล ที่สำคัญ...ถูกต้องและน่าจะดีที่สุดแล้ว


ดังนั้น...ถ้าคนเราจะรับฟังเหตุผลของคนอื่น


ด้วยความรู้สึกเหมือนกับที่เชื่อในเหตุผลของตัวเองบ้าง


ก็คงจะดีไม่น้อย


เหมือนคนเราคบหากัน ช่วงแรกก็ถูกอกถูกใจ


คุยอะไรก็ถูกคอ อย่าไปหาเหตุผลเลยว่าทำไม


ก็มันถูกใจซะอย่าง ประมาณว่าถูกชะตา คบหาแล้วสุขใจ


แต่เมื่อเวลาผ่านไป...


คนสองคนเริ่มรู้จักกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น


เหตุผลต่าง ๆ ก็เริ่มมีบทบาทตามมามากมาย


ทำไมไม่เป็นอย่างนี้นะ อย่างนั้นนะ


ทำไมนิสัยอย่างนี้ล่ะ น่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่า


ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง


จนวันหนึ่งการคบหามาถึงจุดแห่งความขัดแย้ง


ไอ้เจ้าเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงดูจะมีบทบาทชัดเจนขึ้น


เพราะอย่างนี้ อย่างนั้น ไอ้นั่น ไอ้นี่


ทำให้คนเราเกิดทิฐิ เกินกว่าที่จะละวาง


แล้วกลับมาคบหากันดังเดิมได้


...


...


ส่วนตัวเราคิดว่า ระหว่างคนสองคนที่คบหากัน


ไม่มีใครถูกหรือว่าผิด เพราะคนเราเติบโตมาบน


พื้นฐานที่แตกต่าง ประสบการณ์ที่แตกต่าง


นั่นย่อมทำให้วิธีการคิดแตกต่างกันตามไปด้วย


ต่างคนต่างมีความเชื่อ มีมุมมอง มีความต้องการที่ต่างกันไป


และรวมถึงเลือกวิธีการจัดการยุติเรื่องราวปัญหาลงด้วย


ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครมองมุมไหน ยังไง


ใครถูก ใครผิด แต่มันสำคัญที่ว่า...มิตรภาพที่คบหากันมา


มันมีค่าพอไหม มีค่าพอเกินกว่าที่คนสองคน


จะหันมาปรับความเข้าใจกัน และฟังเหตุผลซึ่งกันและกันได้ไหม


บางคนหันหลังให้กัน...ทั้งที่ยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลย


นอกจากปล่อยให้ความคิดโบงการจับจูงหัวใจไป


เพราะอีกฝ่ายคิดว่าไม่แคร์ ใครอยากคิดอะไรก็ช่าง


ในขณะที่อีกฝ่ายอาจจะแคร์ แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะวิ่งตามหาความเข้าใจ


คนสองคนจึงเดินจากกันไป...อย่างน่าเสียดาย





บันทึกไว้ ณ บ่ายวันพุธที่อบอ้าว























































































































































































































































วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ช่วงเวลาที่ดี...แม้นไม่ถึงกับดีที่สุด







บ่ายวันอังคารที่ฝนพรำ

เรานั่งเปิดเว็บเพจดูไปเรื่อยเปื่อย

วันนี้เป็นวันพักผ่อนสบาย ๆ อีกวัน

เป็นอีกวันที่มีเวลาสำหรับตัวเอง

มีเวลาที่จะหยุดมองชีวิตคนอื่น ๆ

หยุดแอบวิพากย์วิจารณ์คนอื่นในใจ

วางความรู้สึกพวกนั้นไว้เสียได้

แล้วหันมาสำรวจตรวจตราชีวิตตัวเองบ้าง

สิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราเป็น เรามีความสุขดีอยู่หรือ

ในวันที่ผ่าน ๆ มา ... มีอะไรที่ต้องปรับเปลี่ยน

ต้องปรุงใหม่ ต้องจัดให้เป็นระเบียบอีกรึเปล่า

เหมือนจะมีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่มากมายอะไร

เพราะปกติก็เป็นคนจัดระเบียบชีวิตให้เข้าที่เข้าทางอยู่แล้ว

ทุกวันนี้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข กับงานที่ชอบ

กับคนที่ต้องรับผิดชอบดูแลเลี้ยงดูเขาให้มีอนาคตที่ดี

ที่สำคัญ...ได้ใช้ชีวิตในวิถีที่ตัวเราเป็นคนเลือกเอง

อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากไปไหนก็ได้ไป

อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากเมาก็ได้เมา

โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่า "ใครสักคนจะพอใจรึเปล่า"

นั่นถือว่าเป็นความสุขในระดับหนึ่งที่น่าพอใจสำหรับเรา

เหมือนวันนี้...ชีวิตได้ปลดล็อกได้สำเร็จเสียที

ต่างจากเมื่อวันที่ผ่าน ๆ มา

เราคล้ายคนพายเรือที่โง่งม

คิดอยากโล้พายแหวกสายน้ำนำเรือไปให้ไกล

สู่เวิ้งน้ำที่มันกว้างไกลสุดตา

ออกแรงพายเต็มที่ จ้ำพายลงน้ำไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง

แต่เรือยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้เคลื่อนไปไหน

ทำไมน่ะหรือ...ก็เราลืมปลดเชือกเรือน่ะสิ

เรือจึงจอดนิ่งอยู่กับท่าเช่นนั้น

นั่นเป็นประสบการณ์ที่ดี

ทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นมาว่า

หากวันนี้ ก่อนออกแรงพายเต็มที่กับชีวิต

ต้องไม่ลืมตรวจดูว่า ชีวิตเราลืมปลดล็อกรึเปล่า

บางทีข้างในกรงขังกับคำว่าอิสระเสรีภายนอก

มันก็ถูกกั้นเพียงเส้นบาง ๆ ของความรู้สึกเท่านั้นเอง



บันทึกไว้ ณ บ่ายวันอังคาร


วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

วิถีทางที่ต่างเลือกเดิน...







วันนี้เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวตุ๊บ ๆ

สาเหตุก็ไม่ใช่อะไร เมื่อคืนฝนตกกระหน่ำหนัก

กำลังขายของก็เป็นอันต้องเลิกไปโดยปริยาย

แล้วก็วิ่งวุ่นอยู่กับการเก็บข้าวของ ตากฝนชุ่มฉ่ำสนุกสนาน

มือซ้ายจับร่ม มือขวาจับผ้าใบ วุ่นวายเป็นที่สุด

แต่ในความวุ่นวาย...มันก็ผสม ๆ กับความสนุกสนาน

เพราะจุดที่ขายเป็นบริเวณใต้หอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย

มีน้อง ๆ นักศึกษาที่ซี้ปึ้กกันอยู่หลายคน

มาช่วยกันคนละไม้คนละมือก็สนุกดี

อาชีพแม้ค้าทำให้สบโอกาสได้เล่นน้ำฝนเป็นประจำ

ทั้ง ๆ ที่ในวัยเด็ก ยามเห็นฝนพรำสายแบบนี้

มักถูกผู้หลักผู้ใหญ่ไล่ให้เข้าบ้านเสียงขรม เพราะกลัวจะไม่สบาย

แต่ตอนนี้โตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงได้มีโอกาสสัมผัสฝนได้ตามอำเภอใจ

เราชอบชีวิตตอนนี้จัง...ได้อยู่แวดล้อมไปด้วยเด็ก ๆ วัยรุ่น

คล้าย ๆ เหมือนจะย้อนกลับไปในวัยนั้นอีกครั้ง

เพราะการพูดจา เดาใจ หรืออ่านเกมส์...ต้องมีไหวพริบพอดู

ก็เด็กสมัยนี้เค้าเก่ง ริจะเป็นแม่ค้าก็ต้องทันเกมส์เด็กหน่อย

ทำให้รู้สึกชีวิตมีสีสันดี วันหนึ่ง ๆ มีเรื่องให้ได้ฮาไม่เว้นแต่ละวัน

บางวันขายเสร็จก็กอดเอวกันไปดริ๊งเหล้าปั่นต่อ

เที่ยงคืนโน่นล่ะ...กว่าจะแยกย้าย

เหมือนเมื่อวานที่มีภาพน่ารัก ๆ ตอนน้อง ๆ ช่วยเก็บร้านหนีฝน

เราขับรถกระบะมาเทียบฟุตบาท น้องสองสามคนช่วยกันขนของ

ขึ้นรถ แต่มีอยู่คนหนึ่งอุ้มครกไว้แนบอก แล้วอีกมือก็กำซาก

เค้าร้องเพลงพื้นบ้านอะไรก็ไม่รู้ เราฟังไม่ค่อยถนัด

แล้วก็ทำท่ายกสากตำใส่ครก ถอยหน้าถอยหลัง

เรียกเสียงฮาจากคนแถวนั้นได้ครื้นใหญ่

พี่ร้านกาแฟเลยตะโกนร้องเพลงคาราบาวแข่งกับสายฝนด้วยอีกคน

เราลงมายืนกอดอกพิงรถ...รู้สึกว่ายังไม่อยากจะรีบกลับเลย

ยังอยากจะมองภาพสนุก ๆ แบบนั้นต่ออีกหน่อย

เพราะพอสามีพี่คนที่ขายกาแฟร้องเพลง

ภรรยาเค้าก็เอากระบวยตักน้ำร้อนมาเป็นไมค์ แล้วร้องคอรัสให้

เราขำก๊ากแบบไม่ต้องเก็บอาการเลยทีนี้ เลยไปช่วยชูมือขวา

ร่วมอีกคน เด็ก ๆ สนุกกันใหญ่ภายใต้สายฝน

คนที่ขับรถผ่านไปมา แต่งตัวเป็นผู้ดิบผู้ดีคงจะนึกหมิ่นอยู่ในใจ

แต่เขาคงไม่รู้หรอก นี่แหละความสุขที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ

ที่สำคัญเขาคงไม่รู้หรอก ว่าคนขายกาแฟน่ะ...จบโทวิศวะ

ตอนกลางวันทำงานที่บริษัทต่อเรือ เงินเดือนตั้งสี่ห้าหมื่น

ภรรยาเป็นนักเขียนอิสระประจำนิตยสารฉบับหนึ่ง

และอีกหลาย ๆ ร้าน ที่กลางวันทำงานบริษัท

แล้วมาหาจ๊อบพิเศษเอาตอนเย็นเป็นรายได้เสริม

แถมเป็นรายได้เสริมที่เป็นกอบเป็นกำยิ่งกว่าเงินประจำเสียอีก

มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิด

ที่แม้นจะร่ำเรียนจบมาสูง แต่เลือกที่จะเป็นนายตัวเอง

ไม่ต้องไปอยู่ใต้บังคับบัญชาใคร

แต่หัวใจคนเรา...มันจะเอาอะไรแน่ได้นักเล่า

บางวันไปเจอเพื่อนทำงานแต่งตัวสวยเช้ง

หัวใจก็นึกกระหวัดโหยหาการงานที่มันโก้หรู

แต่บางวันขายดิบขายดี เห็นเงินเป็นฟ่อน ๆ ก็เปลี่ยนใจอีกล่ะ

ไปเป็นลูกน้องใครทำไมให้เหนื่อย เป็นงี้ก็ดีจะแย่แล้ว

คนเรา...เรียนจบสูง ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตตามสูตรเสมอไป

ซิกแซกบ้างก็ได้ มันก็ใช่ว่าจะไม่ได้ดีนี่นา

เราบอกตัวเองแบบนั้น ขอแค่ทำดี คิดแต่สิ่งดี ๆ และก็เป็นคนดี

ทำอะไรที่ใจเรารัก และอย่าไปเผลอทำให้ใครเค้าเดือดร้อน

ศีล 5 รักษาให้ได้ มีอัฐมากหน่อยก็ทำบุญทำทานบ้าง

ก็แค่นี้และความสุขในชีวิต จะอะไรนักหนาน๊อ

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

รุ่มร้อนทำไมให้หัวใจระคายเคือง



บางครั้ง...การเป็นคนที่ถูกบอกรัก ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเสมอไป

แม้นจะในยามที่หัวใจรู้สึกว่าแล้นแค้น..โหยหาสักเพียงไหน

ใครหลายคนมักพูดว่าคนเราไม่ควรจะไปคาดหวังอะไรมากมาย

แต่ตอนนี้ ฉันกลับรู้สึกว่ากำลังคาดหวังอย่างเหลือเกิน

หวังที่จะให้ทุกอย่างเป็นเพียงการไหลเวียนใต้น้ำเท่านั้น

ไม่ได้มีแรงกดใด ๆ ก่อตัวให้ก่อเกิดเป็นคลื่นใต้น้ำขึ้นมาได้

เพราะกลัวน่ะสิ...

ว่าคลื่นอาจจะมีอนุภาพมหาศาล ที่จะทำลาย

กำแพงแห่งมิตรภาพให้พังคลืนในพริบตา

แม้นจะลงหลักปักเสาไว้มั่นคงแค่ไหน

แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอนอยู่ดี

ทำไมนะ...คนเราจะอิงแอบกัน

แค่ให้หัวใจอุ่นเฉย ๆ ไม่ได้เชียวหรือ

โดยไม่ต้องเกินเลยไปจนเกิดวิกฤตแห่งความรุ่มร้อน

หรือเพราะหัวใจคน เป็นอะไรที่ควบคุมยากที่สุดในโลก

ยิ่งกว่ารถยนต์ เครื่องบิน จรวดมิดไซต์ ไปจนถึงขีปนาวุธร้ายแรงก็เถอะ

เธอบอกว่า...ฉันน่ะ ชอบคิดอะไรที่ลึกลับซับซ้อน

อืม...ก็ใช่

ทำไมไม่ทำตัวสบาย ๆ ล่ะ ปล่อยหัวใจไปตามที่รู้สึก...เธอว่า

ทำได้ด้วยเหรอ...แล้วต้องปล่อยตัวด้วยมั้ย ฉันเถียงอยู่ในใจ

ขนาดควบคุมใจตัวเองได้ยังขนาดนี้

แล้วหากคุมไม่ได้จะขนาดไหน ... ยิ่งเธอบอกความในใจสั้น ๆ มาว่า

"ฉันรักแกว่ะ"

โอ้...พระเจ้า...ขนแขนฉันลุกเกรียวเลยเชียวล่ะ

ฉันจะนึกว่าเธอละเมอว่ะเพื่อน

ส่วนเธอ...ให้รีบไล่ผีตัวที่สิงปากให้พูดออกจากตัวเร็ว ๆ

อย่าให้ฉันต้องควง "ไม้คมแฝก" ไปแพ่นกบาลเพื่อนตัวเองเลย

(อดพาดพิงนิยายช่อง 7 ที่ชอบไม่ได้ เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก)

เธอก็นะปากไว..รีบสวนมาเชียว

ผีที่ไหน...ไม่มี จะมีก็แต่กามเทพน่ะ

โห...นี่ถ้าฉันอายุ 18 นะ...ฉันคงไม่รอดมือเธอแน่

แต่ประทานโทษ ฉันเพิ่งจะ 38 ไปเมื่อวาน ไอ้เพื่อนบร้าห้าหกร้อยเอ๊ย

เธอเกลื่อนเรื่องราวด้วยเสียงหัวเราะตามเคย ก่อนจะว่า

ไม่ได้บร้าห้าหกร้อย นี่แค่ร้อยเดียวนะเนี่ย

ถ้าห้าหกร้อยเธอเสร็จฉันแน่

จบคำเธอ...เราสองคนก็หัวเราะกันครืน

เธอก็ยังคือเธอคนเดิมวันยังค่ำ

และฉันก็ยังยึดมั่นจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

แล้วเราทำไมต้องทำความรุ่มร้อนให้หัวใจระคายเคืองด้วยเล่า.














วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

สำหรับฉัน...เธอสำคัญยิ่งกว่าคำว่าเพื่อน







วันนี้ฉันหยุดงานต่ออีกวัน และคงหยุดยาวไปถึงพรุ่งนี้

หัวค่ำนี้เราจึงมีโอกาสคุยโทรศัพท์กันได้นาน ๆ อีกครั้งหนึ่ง

ตลอดชีวิตฉัน ลองนับนิ้วดู ฉันมีคนที่เรียกว่าเพื่อนอยู่ไม่กี่คน

แต่ละคน...จึงเป็นคนที่ฉันรักและให้ความสำคัญในทุก ๆ เรื่อง

ในบรรดาเพื่อนที่มีอยู่ไม่กี่คนของฉัน

เธอคือหนึ่งในนั้นด้วย แต่เธอสำคัญยิ่งกว่าเพื่อนธรรมดา

ฉันนึกไม่ออกว่าจะใช้คำไหน จึงแทนความเป็นตัวเธอได้ดี

เพราะเธอเป็นยิ่งกว่าเพื่อนชีวิต ในชีวิตจริงของฉันเสียอีก

เหมือนเธอเป็นเงาของฉัน เหมือนเราเป็นเงาของกันและกัน

เคยมีคนพูดกับฉันว่า "คนรัก" สามารถเป็นได้ทั้งเพื่อน

และเพื่อนชีวิต แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้เจอเสมอไป

ฉันเอง...ก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนที่หมดโอกาสเหล่านั้นด้วย

แต่ไม่เป็นไรใช่มั้ย...เมื่อฉันยังมีเธอ เมื่อเรายังมีกัน

จริงอยู่...เพื่อนบางคนอาจทิ้งเราไปได้ทุกเวลาถ้าเราประสบปัญหา

หรือไม่...ก็ไม่ได้มาเดือดร้อนอะไรกับเราสักเท่าไหร่

หรือไม่เรานึกว่าเขาเป็นเพื่อน แต่สำหรับเขา...เราก็แค่คนเคยรู้จัก

แม้แต่เพื่อนร่วมชีวิตของฉันเองก็เถอะ

แต่เธอไม่ใช่...

เธอไม่เคยทิ้งฉัน ในวันที่ชีวิตฉันล้มลุกคลุกคลาน

ในวันที่ฉันรู้สึกว่าโลกนี้แทบไม่มีที่ให้ฉันยืน

...
...

ความรู้สึกที่เรามีต่อกันในวันนี้

แม้จะเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว

แต่วันข้างหน้า ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แต่แม้นจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ฉันอยากจะขอร้อง

ให้เราอย่าหายจากกันไปได้มั้ยเธอ...เธอให้ฉันได้มั้ย

ฉันไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย

เธอไม่ต้องเอาฉันไปเป็นภาระอะไรในชีวิต

แต่ได้โปรด อย่าตัดฉันออกไปจากชีวิตเธอเลยนะ

ขอฉันอยู่ในฐานะเพื่อนข้าง ๆ หัวใจเธอก็พอ

...
...

"เมื่อไหร่จะเลิกเป็นคนขี้ขลาดสักที" เสียงแหบห้าวเหมือนจะดังอยู่เพียงในลำคอ

"อย่ามาประนามงี้ดิ ดูเสียยี่ห้อพิกล" ฉันเสแสร้งทำเป็นตลก

เธอหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่เราจะผสานเสียงหัวเราะร่วมกัน

"เอาเถอะ...ฉันเข้าใจแก" เธอสรุป

"อืม...น่ารักจังคืนนี้ หลับตาดิ เดี๋ยวจุ๊บทีนึงเป็นรางวัล" ฉันว่า

"แหม...คุณนาย แน่จริงก็ยื่นปากมาให้ถึงเชียงใหม่ดิ" เธอกระแนะกระแหน

"ไอ้บ้า ขืนทำได้ฉันก็เป็นแม่นาคไปแล้วดิแก" ฉันว้ากเธอเสียงลั่น

ฉันอยู่จังหวัดเล็ก ๆ ริมทะเล

แต่เธอดิ...ตะเกียกตะกายไปรับใช้ชาติอยู่บนยอดดอยโน่น

แปลกมั้ย...ทำไมหัวใจเราใกล้กันจัง

แต่กับเขา...เราอยู่บ้านหลังเดียวกันแท้ ๆ

แต่หัวใจเหมือนห่างไกลกันนับพันไมล์

"เดี๋ยวเที่ยงคืน คืนนี้จะโทรไปเบิร์ดเดย์นะ" เธอทำลายภวังค์ของฉันลง

"อืม...ขอบใจ แกยังไม่ลืมอีกเหรอ"

"ก็จำได้ลาง ๆ อ่ะ" ทำเป็นรักษาฟอร์ม เชอะ รู้หรอกน่า

เธอวางสายไปแล้ว ฉันจึงนึกอยากบันทึกความรู้สึกดี ๆ

ระหว่างเราเก็บไว้ ในหัวใจฉัน...มันก็ไม่มีที่เก็บเสียแล้ว

นานมากแล้ว ที่ฉันไม่ชอบเก็บความทุกข์ความสุขไว้ในหัวใจ

เพราะเวลาที่มันเกิดอะไรขึ้นมา กว่าจะทรงตัวได้ ช่างยากเย็นสิ้นดี

ฉันต้องทำหัวใจให้ว่างเปล่า แล้วโยกย้ายทุกข์สุขของชีวิต

มาเก็บเป็นบันทึกในบล็อกแทน

ขอโทษทีเถอะนะ...ฉันอาจจะเซฟตัวเองมากเกินไป

แต่คนเคยเจ็บอ่ะเธอ ย่อมไม่อยากกลับไปพบความรู้สึกแบบนั้นอีก

ฉันใช้ชีวิตระมัดระวังมากขึ้น และไม่ปล่อยให้ความรู้สึกอะไร

ฝังอยู่ในหัวใจเด็ดขาด นั่นเอง...ที่ทำให้ฉันอมยิ้มอยู่ได้ทุกวัน

บนกองปัญหามหึมาในบ้านหลังนี้




























































วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

โลกสีน้ำตาของเธอ







เมื่อคืนฝนปรายสายลงมาบางเบา แต่เนิ่นนาน

เธอเปิดโคมไฟสีส้มสลัวลาง ก่อนจะเดินมานั่งเบียดกับฉันที่โซฟา

ไออุ่นจากต้นแขนที่เสียดสีกันช่างดีเหลือเกิน

จนฉันนึกอยากดึงเธอมาซุกแนบอก อยากยืดช่วงเวลานี้ให้นานออกไปอีก

นานไม่มีวันสิ้นสุด หรือถ้าหยุดเวลาได้

ฉ้นคงหยุดเวลา ณ ค่ำคืนนี้...กับเธอ

...

...

ไม่นึกมาก่อนว่าจะมีวันนี้ ที่เราได้นั่งเบียดกันแนบสนิท

ในเมื่อความเป็นจริง มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยสักนิด

ฉันมีคนของฉัน เธอมีคนของเธอ

เราต่างมีพันธะชีวิตด้วยกันทั้งคู่

แต่ค่ำคืนนี้ฉันไม่อยากคิดอะไรที่เปรื้อนเปรอะ

นอกจากเสพสุขกับความสัมพันธ์ที่งดงามของเรา
...

...
เสื้อกล้ามสีขาวเนื้อบางทำให้ฉันมองทะลุไปถึงผิวเนื้อสีแทน

วูบนึง...ฉันเผลอไล้ปลายนิ้วขึ้นไปตามต้นแขน

เธอเกร็งเล็กน้อย วอมไฟทำให้ฉันเห็นเธอขนลุกเกรียว

เราสบตากัน แล้วเธอก็โผเข้ากอดฉันแน่นทีเดียว

ขณะที่ฉันยังไม่รู้จะวางมือวางไม้ไว้ตรงไหน รู้สึกทำอะไรไม่ถูก

ถ้าเป็นคนอื่น พฤติกรรมเผลอไผลของฉัน
อาจนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมน้ำตาไปแล้ว...แต่โชคดีที่เป็นเธอ

จนที่สุด...ฉันก็ตัดสินใจยกอ้อมแขนโอบกอดเธอไว้

เพราะรู้ว่าเธอต้องการมัน

...

...

เข้มแข็งไว้นะ อย่างน้อยก็เพื่อผู้หญิงคนนั้น

คนที่เธอต้องรับผิดชอบดูแล

อากาศในค่ำคืนนี้เริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ

ฉันกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เราต่างนิ่งอยู่อย่างนั้น

เหมือนซึมซับทุกความสุขใส่หัวใจให้หมดจด

ฝนคงเริ่มตกหนักขึ้น ละอองเย็น ๆ พัดกรูเข้ามาทางหน้าต่าง

อากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันต้องลืมตา

...
...

และพบกับความจริงที่ว่า ฉันฝันไป

เรื่องราวเมื่อครู่นี้ ฉันเพียงแต่ฝันไป
ค่ำคืนนี้ไม่มีเธอ ไม่มีใคร นอกจากฉันคนเดียว
คืนนี้มีเพียงฉันลำพังเพียงผู้เดียว

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

เดินเล่นในยามดึก




เวลาเริ่มดึกเข้าไปทุกขณะ

แต่ฉันกลับไม่รู้สึกง่วง อาจเพราะละครเรื่องชิงชัง

ที่ฉันเพิ่งดูจบไป ช่วยนำส่งอารมณ์ให้มันกระปรี้กระเปร่าก็ได้

แล้วก็มาต่อที่ภาพยนตร์เรื่อง ฝัน หวาน อาย จูบ

แถมฉันยังมีอารมณ์ขยันพอที่จะอัพบล็อกต่อไปอีก

อาจเพราะคืนนี้ไม่มีเค้า...เพราะเค้าเข้ากะกลางคืน

ที่บ้านจึงมีแค่คนขี้เหงา กับคนขี้เซา แล้วก็เด็กอีกหนึ่งคน

มันทำให้บรรยากาศในบ้านอบอุ่นในความรู้สึกฉัน

อืม...ฉันลืมเจ้าชิสุห์ที่ชื่อถุงเงินไปอีกตัว

เจ้านี่ก็ไม่ยอมหลับยอมนอนเคียงข้างฉันเหมือนกัน

เหมือนฉันทำบาปทำกรรมกับหมอนี่ยังไงไม่รู้สิ

ฉันไม่นอน เค้าก็ไม่นอน แบบวัดใจกันไปเลยเหมือนกัน

และเพราะการไม่ยอมหลับยอมนอนของฉันนี่เอง

ทำให้ฉันเปิดไปเจอบล็อกผู้ชายคนหนึ่ง

อืม...ดูเหมือนเค้าจะเป็นเกย์

ฉันนั่งอ่านไดอารี่ชีวิตเค้าไปเรื่อย ๆ

ปกติฉันไม่ใช่คนช่างอยากรู้อยากเห็นเรื่องของใครมากนัก

แต่กับผู้ชายคนนี้ เค้ามีวิธีการนำเสนอวิถีชีวิตตัวเองได้น่าสนใจ

ฉันชอบ...ตรงความช่างเปิดเผยของเค้า

มันทำให้เราเข้าใจอะไรได้ง่าย

เค้าบันทึกแม้แต่เรื่องที่เค้าไปมีอะไรกับใคร

รู้สึกอย่างไรกับใคร และเป็นแบบนี้โดยไม่อายใคร

เพราะเค้าเลือกแล้วที่จะเป็น

ฉันอ่านชีวิตเค้าได้ไม่กี่เพจ เพราะเรื่องราวของเค้า

ดูเหมือนจะยาวอยู่เหมือนกัน

แต่ฉันก็ละไว้ในหัวใจล่ะ...ว่าถ้ามีเวลา

ฉันคงได้มาเยี่ยมเยือนเค้าอีกเป็นแน่

...
...

ฉันชอบอะไรที่มันตรง ๆ และแอนตี้คนโกหกอย่างสุดเหวี่ยง

แต่ประทานโทษ ชีวิตนี้ฉันก็ไม่สามารถหลบหลีกได้พ้นอยู่ดี

ฉันแยกออก ระหว่างคำว่า "อำ" กับคำว่า "โกหก"

แต่ช่างเหอะ ในโลกออนไลน์แบบนี้ จะไปหาความจริงอะไรได้

ต้องบอกตัวเองแบบนั้นเพื่อจะได้ปลง ๆ ซะ

พอฉันมาอ่านเรื่องของผู้ชายคนนี้ ...

คุณโน๊ตทำให้ฉันอึ้ง ปน ๆ กับทึ่ง

คุณทำได้ด้วยเหรอ คุณเขียนบล็อกถึงตัวเองแบบตีแผ่

แบบนี้โดยไม่อายใครได้ด้วยหรือ

จากหน้าที่การงานคุณก็ถือว่าโอเค

ฉันรู้สึกว่า อืม...คุณแน่ว่ะ...

อ่านเรื่องคุณแล้วมีความรู้สึกว่ามีความสุข

ได้ประสบการณ์ชีวิต ได้แนวทางความคิด

และอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ทำให้เห็นอีกมุมหนึ่งของชีวิตไปเลย

คุณไม่อายที่จะบอกว่าตัวเองเป็นใคร

เพราะคุณไม่ได้เป็นคนเลว เป็นคนไม่ดีมาจากไหน

แต่คุณเป็นคุณ สามารถบอกกับใครก็ได้ว่า...นี่แหละคุณเอง

ในขณะที่บางคน ไม่สามารถบอกใครได้ว่าตัวเองเป็นใคร

ทำอะไร ระหวาดระแวง คลางแคลง จนต้องมานั่งเสแสร้ง

เฮ้อ! น่าปวดหัวแทนพวกเค้าจัง

ฉันอ่านเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รู้จัก

แต่มันทำให้รู้สึกดีจัง คืนนี้ฉันอยากจะหลับฝันดี

เพราะรู้สิ...ว่าพรุ่งนี้ฉันต้องลืมตาตื่นมาเจอกับภาพความจริง

ที่ชวนฝันร้ายอีกตามเคย หมดวันของฉันเสียทีสำหรับวันนี้

Good night เพื่อน ๆ ที่รักของฉันทุกคน

ขอพรพระคุ้มครองนะคับพี่น้อง

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

อึดอัด




ฉันมีเวลาประมาณ 20 นาทีสำหรับการหายใจทิ้ง

ก่อนที่จะต้องออกไปทำงาน

และนั่น...ทำให้ฉันเผลอไผลไปถึงเธอ

กับเรื่องความสัมพันธ์ของเรา

เปล่า...ฉันไม่ได้ลังเลในวิถีที่เลือกจะเป็น

แต่ฉันหวาดหวั่นในความปรวนแปรของเธอตะหาก

เกรงว่ามันจะมีผลต่อวิถีของฉัน ชีวิตของฉัน

...
...

เมื่อวันอาทิตย์เธอเปิดประตูห้องนอนออกมายืนยิ้มเผล่

ในมือชูแผ่นดีวีดีให้ฉันดู

ฉันกำลังจะลุกเข้าห้องนอนตัวเอง

"เดี๋ยวดิ" เธอรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงอ่อน ๆ

ฉันเพียงแต่เหลือบมอง พยายามทำสายตาให้เป็นปกติ

ไม่ทำมุมปากเหยียด ๆ ไม่ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วย

อ้อ...แล้วก็ไม่เม้มปากด้วย ใบหน้าฉันเลยเป็นปกติดีในสายตาเธอ

ทั้งที่อารมณ์ข้างในอ่ะเหรอ ไม่อยากจะอยู่ฟังอะไรเลยล่ะ

"นี่สามก๊กชุดใหญ่เชียวนะ เดี๋ยวดูด้วยกันมั้ย"

เห๊อะ...ฉันเนี่ยนะจะดูสามก๊ก

เวลานั่งเหยียดขาเอนหลังสบาย ๆ ยังไม่ค่อยจะมี

เล่นคอมไป ฉันยังต้องมีงานในมือทำไปขณะรอโหลดหน้าเพจ

แล้วจะมีปัญญาอะไรว่างไปนั่งดูสามก๊กนั่นเล่า

"คืนนี้ดูด้วยกันนะ" สายตาเชิญชวนเต็มที่

แต่ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ได้รักษาฟอร์มอะไรนะ

แต่ไม่อยากจะมีปฏิสัมพันธ์อะไรร่วมด้วยเลยสักอย่าง

"อยากให้ช่วยเปิดดีวีดีให้หน่อย ไม่ค่อยเข้าใจระบบ"

ต๊ายยย...มุกนะยะ

แล้วทีต่อลำโพง แยกเซอราวน์ เพิ่มแอมป์จนหูแทบแตกอ่ะ

ทำไมทำเป็น กะอีแค่ยัดดีวีดีลงเครื่องแล้วกด play เกิดทำไม่เป็นซะงั้น

"ไม่อ่ะ...คืนนี้จะเล่นคอม" ฉันยืนยันตามเดิม

"คอมอีกและ เล่นทุกวัน ไม่กลัวต้องยกไปซ่อมมั้งเหรอ"

เธอพูดน้ำเสียงเนือย ๆ แต่ฉันดิ...สะดุ้งเฮือก

"อะไร อะไร...ทำไมต้องยกไปซ่อม จะหาเรื่องไรอีกล่ะ"

ฉันโวยวายเสียงดัง หน้าตาอารมณ์ที่บล็อกไว้อย่างดี

ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหน้าสีแดง ๆ ตาสีเขียว ๆ มีแสงเรือง ๆ ล่ะ

แถมมองขวาง ๆ ทำปากยื่น ๆ หงุดหงิดชิบป๋ง

"ไม่ได้หาเรื่อง ก็เห็นเล่นทุกวัน ระวังมันจะเจ๊งเอานะ" เธอยักไหล่

โห...ถ้าฉันเป็นแมนหน่อยไม่ได้ แม่จะสอยให้ร่วงล่ะ

ป๊าดติโธ่...

"มันเจ๊งเพราะฉันก็แล้วไป อย่าให้รู้ว่ามีใครมาแอบทำแล้วกัน" ฉันสวน

"ครายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย...มันจะไปทำของเธอ"

ง่ะ...จะคร๊ายยยย...(ก็แกอ่าดิ !!!!!/*****อันนี้แอบคิดในใจ เอิ๊ก เอิ๊ก)

"น่า...คืนนี้ไปดูสามก๊กด้วยกันนะ" เธอยังเซ้าซี้

ฉันไม่ได้โง่...ที่ดูเธอไม่ออก

แต่บางที ฉันก็ต้องแกล้งโง่ ทนดูสามก๊กกับเธอ

ฉันไม่ใช่ไม่มีทางเลือก

แต่บางที ฉันก็จำเป็นต้องเลือกเดินทางที่มันขรุขระ

เพราะมันเป็นทางลัด

ฉันไม่ได้ซื่อ

เพียงแต่เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่ชอบเล่นบทซื่อต่อหน้าเธอเท่านั้นเอง

...
...

เอาวะ....ดูก็ดู ฉันตัดสินใจ ว่าทน ๆ ดูสักชั่วโมง

แล้วก็ทำเป็นแบบ ฮ้าววววววววว ฮ้าววววววววววววว

ขอตัวไปนอน แล้วค่อยมานั่งเล่นบล็อกก็ได้

ซึ่งฉันมารู้ตัวทีหลังว่าแผนนี้ใช้ไม่ได้ เพราะฉันดูจนเผลอหลับ

ไปตั้งกะเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก็เล่าปี่อ่ะเพิ่งมาเจอกวนอู กับเตียวหุย

เพิ่งจะเป็นท่านนายอำเภอเอง

ฉันต้องถ่างตาโต้รุ่งนั่นล่ะ ยังไม่รู้ว่าเล่าปี่จะได้เป็นเจ้าเมืองรึยัง

กว่าจะได้ออกจากห้องเธอ...ก็เช้านั่นล่ะ

ทีหลัง...ไอ้มุกสามก๊กนี่...ฉันจะไม่ยอมหลวมตัวเด็ดขาดเลย เฮ้อ! เซ็ง
...
...
ฉันไม่ชอบความใกล้ชิดแบบนี้ มันอึดอัด
ฉันยอมรับว่าหวั่นใจ
กลัวอะไร ๆ ที่ตัดสินใจไปแล้ว มันจะล้มเหลว
ฉันกลัวการเริ่มต้น โดยเฉพาะการเริ่มต้นกับคนอย่างเธอ
มันน่ากลัว
กว่าชีวิตจะคลายล็อกได้
ฉันไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิมอีกเลยจริง ๆ
...
...
- -"














วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

เพราะรู้สึกว่าใจ...มันหายตาม




ตีหนึ่งเศษที่ฉันเข้าบล็อก

ไม่ได้คาดคิดว่าจะมาอ่านอะไรนักหนา

นอกจากหัวใจมันรู้สึกคิดถึง บ้านหลังเล็ก ๆ อีกหลัง

อยากแวะโต๋เต๋อ่านอะไรต่อมิอะไร

ของคนที่อยู่ในบ้านเดียวกันสักครู่แล้วค่อยนอน

แล้วฉันก็เห็นว่ามีการอัพบล็อกใหม่ของเพื่อน

ที่บล็อกเขา ไม่ได้เขียนข้อความอะไรมากมายนัก

นอกจากภาพอุบัติเหตุรถชน ซึ่งฉันก็คิดเพียงว่า

เขาคงถ่ายจากอุบัติเหตุที่ไปพบเห็นมา

ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นตัวเขาเอง ที่ประสบอุบัติเหตุครั้งนี้

โชคดีที่มันสะบักสะบอมแค่วีออส แต่เขาปลอดภัย

แต่นั่น...มันก็ยังทำให้ฉันรู้สึกใจหายอยู่ดี

....

10 กว่าปีก่อน ฉันเคยสูญเสียเพื่อนที่รักที่สุดไป

กับอุบัติเหตุรถยนต์ มันยังเป็นฝันร้ายในชีวิตฉันเรื่อยมา

ภาพที่เขานอนแผ่อยู่กลางถนน เลือดของเขาที่เปื้อนเปรอะ

เต็มเสื้อยืดของฉัน มือของเขาที่กุมมือฉันแน่น

สายตาเจ็บปวดของเขา ที่สื่ออะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากความเจ็บปวด

ซึ่งฉันเข้าใจดี ว่าเขาต้องการจะบอกอะไร

ฉันวิ่งเกาะขอบเตียงรถเข็นไปส่งเขาถึงหน้าห้องไอซียู

แต่สุดท้าย ... เขาก็จากไปอย่างสงบ

ไม่มีใครสามารถฉุดรั้งชีวิตเขาไว้ได้

ฉันเป็นคนสุดท้ายที่ดึงผ้าสีขาวคลุมหน้าให้เขา

วินาทีนั้น...หัวใจมันเหมือนถูกบีบจากแรงกดที่มองไม่เห็น

เจ็บปวดทรมานสิ้นดี กับการสูญเสียครั้งนั้น

....

สำหรับเพื่อนในบล็อก

ถือว่าโชคดี...ที่อุบัติเหตุครั้งนี้อ่วมแต่แค่วีออส

ถือเสียว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกันนะรำพึง อย่าไปคิดไรมาก

ถ้าค่อยยังชั่ว น่าจะไปหาวัดทำบุญซะหน่อยคงดี

เสียใจด้วยนะน้องชาย...กับเจ้าวีออส

แต่เข้าอู่ให้เค้าเคาะ ๆ พ่น ๆ เดี๋ยวก็คงเนียนเหมือนเดิมล่ะ

ยังไงตะเองปลอดภัยไม่เป็นไรก็ดีแล้ว

อย่าลืมไปเช็คสุขภาพอย่างที่ U can เตือนซะหน่อยก็ดีนะ

มีอะไรเดี้ยง ๆ ฟกช้ำดำเขียว ก็ขอให้หายเร็ว ๆ เน้อ...คุณน้องชาย



ณ. บ้านบางละมุง เช้าวันใหม่

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ไม่สุข


ปลายสายตัดสัญญาณไปแล้วนั่นล่ะ
ฉันจึงค่อยรู้สึกตัวว่า ถือโทรศัพท์ค้างอยู่
ทุกครั้งที่ชีวิตปะทะเข้ากับอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ได้รับเชิญ
ส่วนใหญ่ฉันมักมีสติในการตั้งรับค่อนข้างดีพอใช้
เพราะการฝึกดูใจให้รู้เท่าทัน
ที่ครั้งหนึ่งฉันเคยไปนั่งปฏิบัติธรรมมา
ดูจะเป็นวัคซีนที่ดีในการป้องการความทุกข์ใด ๆ
ที่จะเข้ามากระทบถึงใจได้
ความทุกข์จึงติดอยู่ในใจฉันไม่ค่อยได้นาน
ก็มักสูญสลายไปตามเหตุและผลที่ควรจะเป็น
แต่เธอ
ผู้พิสมัยความศิวิไลค์แห่งโลกการคืน
ไม่ได้มีหลักเกณฑ์อะไรสักเท่าไหร่ในการดำเนินชีวิต
ยังใช้ชีวิตแบบประมาทโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
เวลาเจออะไรแต่ละที ก็ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่า
ความห่วงของฉัน ดึงเธอไว้ไม่เคยได้เลยแม้สักครั้ง
ปรารถนาดีจากฉัน กลายเป็นเรื่องน่าขบขันทุกทีที่บอกเตือน
และมือของฉัน ก็กลายเป็นผ้าเช็ดหน้าให้เธอทุกครั้งร่ำไป
อ้อมกอดของฉัน กลายเป็นผ้าอุ่น ๆ ในวันที่เธอเหน็บหนาวไม่มีใคร
ทำไมต้องรอจนตัวเองเหมือนคนไม่มีค่า
ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่า
ทำไมต้องรอให้คนอื่นเห็นคุณค่า
ทั้งที่ไม่คิดจะทำตัวให้มีคุณค่า
ทำไมไม่ตื่นขึ้นมาสักที จากโลกแห่งจินตนาการ
ที่นำเธอไปสู่หุบเหวแห่งการมืดดับ
ทำไมล่ะ...น้องคนดี

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เก็บไว้ในหัวใจ








"จากอ้อมอกแม่มาสู่ริมเล

หลงทางอยู่กับคนเกเร...เนิ่นนาน"

...

...

ฉันอ่านข้อความสองบรรทัดสุดท้าย

ในโปสการ์ดของเธอ

และโดยไม่ทันระวัง

ฉันเผลอสับเพร่า

ทำดอกหญ้าแห้งที่เธอแนบฝากมาหล่นร่วง

เธอกำลังทำให้ฉันคิดถึงเขา

คิดถึงความรู้สึกเก่า ๆ ของตัวเอง

ความคิดฉันวนเวียนกลับไปกลับมา

ที่สุด...เมื่อคืนก่อนนอน

ฉันต้องไปทำสมาธิอยู่ราวชั่วโมง

กว่าจะดึงหัวใจให้กลับมาเป็นปกติดุจเดิม

เธอนะเธอ

ช่างก่อกวนเหลือดี

...
...




อ่อนโยนทุกที ที่คิดถึง

เธอช่างรู้วิธีตรึงคนอ่อนไหว

ให้รู้จักความจริงของหัวใจ

จนยากบังคับใจให้ปล่อยมือ

นับแต่เธอกอดไว้ในวันนั้น

ฉันจะมอบหัวใจรักใครได้อีกหรือ

แววตาเย้าก่อนเก่าที่เล่าลือ

ก็ยังคงเป็นแววตาซื่ออยู่เช่นนี้

แม้นวันนี้หัวใจรักช่างแล้งไร้

รักจากเธอยังแนบใจไปทุกที่

เธอคนเดียว...เติมเต็มใจได้พอดี

เพียงแต่...มากไปกว่านี้ ไม่ได้อีกแล้ว

...

...

ฉันค่อย ๆ บรรจงเก็บโปสการ์ด

เข้าซองจดหมายตามเดิม

เธอกำลังซุกซ่อนความรู้สึกอยู่ใช่มั้ย

โปสการ์ดที่ดาษดื่น ฉันเห็นเขาก็ส่งกันเปล่าเปลือย

แต่ทำไมเธอต้องซ่อนเร้นมาในซองจดหมาย

คิดอะไรมากมายกันนักเล่าหัวใจ

วางเสียบ้างเถิด...

เกรงว่าจะเหนื่อยเกินไปแล้ว...

อยากจะเตือนไว้สักนิด

คนเรา...ถ้ารู้อยู่แล้วว่าเสียเวลา เหนื่อยเปล่า

ก็หันไปหาอะไรที่เป็นประโยชน์ทำเถิด

โลกยังมีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจอีกเยอะ

เปิดตาเปิดใจให้กว้างเสียนะ

อย่าให้ความรักทำลายตัวเอง

จงใช้ความรักเป็นเกราะคุ้มครองตัวเองเถอะนะ.

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

อาจเพียงแค่บรรเทา...เพราะเราห่วงเธอ


ฉันไม่รู้จะช่วยยังไง...
อีกอย่างการฟังใครพูดนั่นพูดนี่มาก ๆ อาจทำให้เธอสับสน
เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ
ฉันจึงเพียงบอกเธอได้แค่ว่า
ลองคุยกันหน่อย เผื่อจะสบายใจขึ้น
.....
.....
เราคุยกันถึงเรื่องคนที่เธอผูกพัน
ฉันเพียงสรุปคร่าว ๆ จากวันที่เขาเกิดเท่านั้น
เขาเป็นผู้ชายเกิดวันที่ 10
ตามที่ฉันศึกษามา ผู้ชายเกิดวันนี้มักเป็นคนโดดเดี่ยว
เธอเหลือบมองหน้าฉันแว่บนึง แต่ไม่ได้พูดอะไร
ชีวิตครอบครัวมักมีปัญหา หรือไม่ก็ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ล่ะ
หรือถ้ามีครอบครัวก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน อาจต้องห่าง ๆ หาย ๆ
ไป ๆ มา ๆ ไม่ใช่ชนิดที่ว่ากลับบ้านเจอกันทุกเย็นว่างั้นเถอะ
อย่างใดอย่างหนึ่ง อิทธิพลตัวเลขมันเป็นไปแบบนั้น
"เค้าอยู่กับป้าอ่ะพี่" เธอเงยหน้าขึ้นบอก
ฉันกำลังนึกเรียบเรียงถ้อยคำที่อยากจะบอกเธออยู่
ว่าคนที่เกิดวันที่ 10 ดวงเป็นคนเก่งอยู่เหมือนกัน
แต่ก็หนีทุกข์ที่เข้ามาบั่นทอนใจไม่ได้
หัวแข็ง หัวใจรักอิสระ หุนหันพลันแล่น
กล้าคิด กล้าทำ ยุติธรรม เรียกว่ามีจุดยืนของตัวเองน่าจะได้
เมื่อผู้ชายคนนี้หัวแข็ง เธอคงรู้สินะ...ว่าใครควรจะหัวอ่อน
และนั่นมันก็ไม่ใช่เธอ
แถมคนเกิดวันนี้ทำคุณใครก็ไม่ขึ้น เพราะชอบไปควบคุมจัดการ
ไม่ชอบประนีประนอม มักมีปัญหากับหัวหน้างานด้วยซ้ำ
"ก็ใกล้เคียงนะพี่ เห็นบ่นว่าโดนย้ายไปปริมณฑล ไม่ได้อยู่
สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯแล้วอ่ะ ไม่รู้ย้ายเพราะไรเหมือนกันพี่"
.....
.....
เกิดวันอังคาร อืมม์
เป็นคนแข็งอยู่สักหน่อย หัวดื้อ กล้าพูดกล้าทำ
จะว่าปากเสียก็พอได้นะ ลักษณะนิสัยแบบนี้ทำให้มีศัตรูง่าย
จริงใจจริงจังมั้ย...ก็พอได้ แต่มาในลักษณะแข็งกร้าว
ไม่ใช่เวอร์ชั่นเหมือนชาวบ้านเค้าล่ะพ่อคนเนี้ย
.....
.....
ในด้านความรัก เป็นคนค่อนข้างหวือหวา ไปไวมาไว
จนตามไม่ค่อยจะทัน บางทีปิ๊งปุ๊บรักปั๊บเลยนะ คนวันเนี้ย
เป็นคนลักษณะเด็ดขาด ท้าไม่ได้ แบบจะไปพูดอะไรเชิงแตกหัก
ล่ะก็...ได้มีหักมีแตกสมใจแน่
"แล้วถ้าเราอยู่กับคนเกิดวันที่ 10 เราจะมีความสุขมั้ยพี่"
ฉันเผลอมองค้อนเข้าให้
"มันไม่ได้อยู่ที่เกิดวันอะไร ที่พูดให้ฟังไม่ได้บอกว่า
คนเกิดวันที่ 10 จะเป็นแบบนี้ทุกคนซักหน่อย อย่าหลงประเด็นดิ"
คนถามอึ้งไป...
ฉันมองเห็นความสับสนในดวงตาเธอ
"แค่การอ่านพื้นนิสัยจากวันเกิดเท่านั้น อย่าจริงจัง" ฉันเตือน
"แล้วพี่เช็คแฟนพี่มั้ย ตอนรักกันอ่ะ" เธอย้อนถาม
"ก็มีบ้าง อย่างน้อย...ก็ขั้นพื้นฐาน"
"แล้วตอนนั้นผ่านมั้ย" เออนะ...สนใจความรักฉันเสียจริงแม่สาวน้อย
ฉันส่ายหน้า
"อ้าวววว.... " เธอทำหน้าเหวอ
ฉันหัวเราะเบา ๆ "ก็บอกแล้วไงว่ามันใช้เป็นมาตราฐานไม่ได้"
เราคุยกันเรื่องอิทธิพลตัวเลขอีกพัก ก่อนแยกจากกัน
.....
.....
มีบางส่วนที่ฉันบอกเธอไม่หมด
เท่าที่ฉันจำได้ คนเกิดวันนี้ดวงมันมีเหตุจะต้องอยู่คนเดียว
ตรงนี้มันก็ทำให้เขาเป็นคนเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว
ความที่ว่ายืนโดยลำพังได้โดยไม่แคร์ใคร
ก็เลยทำให้กลายมาเป็นคนที่ไม่ค่อยจะแคร์ใครในเวลาต่อมาอ่าดิ
เธอจะรับมือไหวมั้ยหนอ
จะว่าไปเพราะพื้นฐานดวงเขาเป็นมาแบบนี้
ทำให้เป็นคนค่อนข้างแข็ง แต่ความจริงแล้วก็เป็นคนว้าเหว่เหมือนกัน
ความรักเหรอ...ก็ต้องการนะ สรุปว่าต้องการทั้งรักและก็เข้าใจนั่นล่ะ
แต่มันซ่อนอยู่ในความแข็งของเขาอ่าดิ เธอจะค้นเจอความจริงนี้มั้ย
จะทนคบหาจนค้นเจอมั้ย....
ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
.....
.....
ตอนฉันมีความรัก วินาทีนั้นฉันรู้เลยว่า
ไม่ใช่อ่ะ...ผู้ชายคนที่ฉันคบเนี่ย มันไม่ใช่แน่ ๆ ถ้าวิเคราะห์ตามดวง
แต่ฉันรักเขา เพราะเขาเป็นเขาแบบนั้น ในวันนั้น
อิทธิพลตัวเลข ไม่มีอิทธิพลในการตัดสินใจของฉัน
เพราะฉันเชื่อมั่นในความรักมากกว่า
แม้มันจะโง่ในสายตาใคร
แต่เพราะหัวใจฉันยังคงเชื่อว่า...รักแท้นั้นมีอยู่จริง
เพียงแต่ฉันอาจโชคไม่ดีนัก...ที่ยังคงตามหามันไม่เจอ
ก็เท่านั้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

วันสาร์ทจีน





ฉันไม่ใช่คนจีน และไม่ใช่แม้แต่คนไทยเชื้อสายจีน

แค่เที่ยงคืนของวันนี้ ฉันก็กุลีกุจอช่วยเจ๊หงส์งก ๆ ตั้งโต๊ะไหว้

เจ๊หงส์เป็นคนจีนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

เหมือนสมชายจรดปลายเท้ายังไงยังงั้น

เพราะถึงจะปูนนี้ก็เหอะ แกเคยควงตะหลิวห้ามเด็ก

ม.เกษตรตีกันมาแล้วนะคะพี่น้อง ข้าน้อยล่ะซูฮก

และก็บังเอิญว่าร้านเราอยู่ใกล้กัน

ฉันมองสองสามีภรรยาชาวจีนหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่เป็นนาน

จนกระทั่งเห็นเจ๊หงส์เหงื่อแตกเต็มหน้านั่นล่ะ

ดูทีรึ...ถ้าขาดฉัน มันจะไม่ครบองค์ประชุมยังไงไม่รู้ เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก

"เจ๊หงส์ มา มา...หนูช่วย ลื้อนั่งก่อน จ๋อเตี่ยมเตี่ยม"

"ฮ่อ ฮ่อ...ลี ลี ม่ายหวาย แก่เลี้ยว ทำไรโหน่ย..จะตาย"

ฉันนึกขำ...ถึงกับจะตายเชียวเหรอเจ๊

แต่เจ๊ก็ยอมตาย เพื่อประเพณี เพื่อบรรพบุรุษตัวเองเน๊าะ

ข้าน้อยขอยกย่อง อิอิ...ล้อเลียนเจ๊หงส์ลับหลังบาปไหมน๊อ

แต่ฉันนั่งไขว่ห้างแล้วนะ นิ้วมือไม่ว่างนี่นา กำลังพิมพ์ดีดอยู่อ่ะ หุ หุ

เลือดจีนเจ๊เข้มจัง ฉันล่ะนับถือ ๆ (อันนี้จากใจจริง)

ระหว่างช่วย ฉันก็ไถ่ถามถึงความเป็นมาของเทศกาลไปด้วย

อย่าหมายนะว่าจะช่วยกันฟรี ๆ เล่ามาซะเด ๆ เลยเจ๊

เรื่องราวมันเป็นมาไง ทำไมต้องเรียกสาร์ทจีน

"สาร์ทจีนคือไรอ่ะ ?"

"ม่ายน่อ..."

อึ้ก...เหมือนโดนหมัดฮุกที่ช่องท้อง อะไรกัน

แค่ไถ่ถามประเพณีลื้อแค่เนี้ย ทำไมต้องม่ายน่อ ม่ายน่ะ...ด้วยล่ะเจ๊

อ๋อ...พอดีมันได้ฤกษ์ผานาที ที่เค้าจะจุดเทียนไหว้กันแล้วนั่นเอง

ฉันกะว่าไว้รอเลิกค่อยถาม แต่นั่นคือความคิดที่ผิดซะแล้ว

เพราะพอเลิก ฉันก็มัวแต่ช่วยแกเก็บข้าวของขึ้นท้ายรถปิ๊กอัพ

พอปิดกระบะท้ายเสร็จ เฮียแกก็สตาร์ทรถ บึ้ม บึม บึม...บรื๊ดดดดดดด

ไปลิบเลย สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เหลือไก่ตัวซีด ๆ ไว้ให้ฉัน 1 ตัว กับขนมเข่งอีกนิดหน่อย

ก็ยังดีฟร่ะ หุ หุ

.............

.............

กลับถึงบ้านฉันก็ยังคาใจ ทำไมคนจีนชอบไหว้เจ้า

เซ่นไหว้แล้วก็แจกจ่ายข้าวของให้ลูกหลาน เพื่อนบ้านกิน

ไม่เหมือนคนไทยใส่บาตร ยังรู้ที่มาที่ไป ยังถึงมือผู้รับชัวร์

ฉันก็เลยเข้าเน็ตหาคำตอบให้ตัวเอง จนเคลียร์คร่าว ๆ ว่า...

...............

..............

การไหว้ ในเทศกาลสาร์ทจีนต่างจากการไหว้ในเทศกาลอื่นๆ

ตรงที่แบ่งการไหว้ออกเป็น 3 ชุด

ชุดแรก สำหรับไหว้เจ้าที่

จะไหว้ในตอนเช้า มีอาหารคาวหวาน ขนมไหว้ก็ใช้

ถ้วยฟู กุ้ยไช่ ซึ่งต้องมีสีแดงแต้มเป็นจุดเอาไว้

ส่วนขนมไหว้พิเศษที่ต้องมี ซึ่งเป็นประเพณีของสารทจีน

คือ ขนมเข่ง ขนมเทียน นอกจากนั้นก็มีผลไม้ น้ำชา

หรือเหล้าจีน และกระดาษเงิน กระดาษทอง

ชุดที่สอง สำหรับไหว้บรรพบุรุษ

คล้ายของไหว้เจ้าที่ พร้อมด้วยกับข้าวที่ บรรพบุรุษชอบ

ตามธรรมเนียมต้องมีน้ำแกง หรือขนมน้ำใส ๆ วางข้างชาม

ข้าวสวย และน้ำชา จัดชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ

ถ้าเป็นคนมีฐานะก็นิยมไหว้โหงวแซ คือมี เป็ด ไก่ หมู ตับ ปลา

พร้อมด้วยกับข้าวอีกหลายอย่าง แล้วแต่ว่าจะจัดที่บรรพบุรุษชอบ

หรือจะจัดแบบที่ลูกหลานคนที่ได้กินจริงชอบ

ชุดที่สาม สำหรับไหว้วิญญาณพเนจร

ผีไม่มีญาติ ซึ่งไม่มีลูกหลานกราบไหว้ เรียกว่า

ไป๊ฮ้อเฮียตี๋ หรือบางแห่งเรียกว่า ฮ้อเฮียตี๋

จะต้องไหว้นอกบ้าน ของไหว้มีทั้งของคาวหวาน

กับผลไม้ตามต้องการ และที่พิเศษคือ

มีข้าวหอมแบบจีนโบราณ คอปึ่ง เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด

เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง

แบบเฉพาะ ที่เรียกว่า อ่วงแซจิว จัดทุกอย่างวางอยู่ด้วยกัน

สำหรับเซ่นไหว้

พิธีไหว้

การไหว้เจ้าที่ จะไหว้ก่อนในตอนเช้า เผากระดาษเงิน

กระดาษทองจนเรียบร้อย สายๆ จึงตั้งโต๊ะไหว้บรรพบุรุษ

และไหว้ฮ้อเฮียตี๋ บางบ้านนิยมไหว้ตอนบ่าย

ถ้าไหว้พร้อมกัน ให้ตั้งโต๊ะแยกจากกัน

แต่เผากระดาษเงินกระดาษทองร่วมกันได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.newminisociety.com/ ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล

.................

.................




ภาพโดย คุณ gacktky

จาก board.palungjit.com/attachment.php?attachment...

ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ

ปล...พี่น้องของฉัน ห้ามแซวว่าแก๊งค์ขาแด๊นซ์มุมขวา

กับเพลงไม่แมทกันนะคะ แค่อินเทรนตามเทศกาล

เดี๋ยวก็กลับสู่สภาวะปกติค่ะ แฮะ ๆ ๆ ๆ

ต้อง ปล.ไว้ก่อน ก็พี่สาวแถวปทุมของฉันอ่าดิ ขาแซวอยู่ด้วย

แปะยันต์กันแซวเอาแถวนี้แหละวุ้ย ห้าม ห้าม ห้าม

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

หลังเลิกงาน

ฉันกำลังจะเดินผ่านห้องรับแขกเข้าสู่ห้องเล่นคอม

ระหว่างทาง...มีดวงตาใส ๆ เหมือนจับจ้องมองฉันอยู่

เฝ้าเพียรขยับครีบแหวกว่ายกรูกันมาอยู่มุมตู้กระจก

ปลาทองตัวอ้วนบึบ 4 ตัวของฉันนั่นเอง

จะอะไรน่ะเหรอ...ก็ว่ายมาขออาหารกินตามประสาปลาตะกละอ่ะดิ

เดินผ่านทีไรเป็นหิว นี่หน้าฉันมันไปเหมือนซากุระที่ตรงไหนเนี่ย

วันนี้ฉันเพิ่งสังเกตุ....ว่ามีปลาดูดตะไคร่ (ชื่อไรม่ายรุอ่ะ)

เพิ่มมาด้วยคู่หนึ่ง

คงเป็นฝีมือเขา...ฉันถามคุณเพื่อนอีกทีเพื่อความแน่ใจ

"เฮ้ย แกรู้มั้ยว่าบ้านเรามีสมาชิกใหม่ว่ะ"

คุณเพื่อนเหลือบมองฉันแว่บหนึ่ง ก่อนจะพยักเพยิดหน้าให้

อืม...แสดงว่ารู้

"เห็นมันหิ้วมาตั้งแต่วันเสาร์แล้ว" คุณเพื่อนบอก

ฉันเลิกคิ้ว...ก่อนจะยักไหล่

เป็นอันรู้กันว่ามันในที่นี้คือใคร

ความสนใจสมาชิกใหม่ฉันสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น

ทันทีที่รู้ว่าใครเป็นคนพาสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่ในบ้าน

...
...

หนังสือเล่มเดิมที่อ่านค้างคาถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง

ว๊าว! ฉันชอบประโยคนี้จัง

"ในวันที่สับสน หวั่นไหว อย่าให้ความดีไม่มีที่อยู่"

แม่เจ้า...จอร์ชเอ๊ย...มันสุดจะยอดเลยนะเนี่ย คำเนี้ย

เขาว่าความดีน่ะทำยาก ที่เซ่นเว่นไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง

และกว่าจะทำดีได้สักครั้ง ก็ต้องชนะ "กิเลส" ของตนนั่นแล

เหมือนเรามีเพื่อนที่ถูกใจสักคน

เป็นไปได้มั้ย ที่จะทนเห็นเขาไปพึงพอใจใครเพิ่ม นอกเหนือจากเรา

ถ้าไม่หลอกตัวเอง อยากให้เขาเห็นเราพิเศษที่สุด

มนุษย์เรามักต้องการอะไรที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองอยู่แล้ว

และสมมติรู้ ว่าเขาถูกใจใครสักคน

จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะแฮ็ปปี้ได้โดยไม่รู้สึกอะไร

เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขา อืมม์...กิเลสในใจคงไม่ยอม

แม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นไร ในนาทีที่หวั่นไหวอ่อนแอ

นั่นไง...ความดีเริ่มไม่มีที่จะอยู่ซะแล้ว

...
...

ฉันปิดหนังสือ อ่านค้างไว้แค่นั้นก่อน เพราะเริ่มง่วง

แล้วหันมาเปิดหน้าเพจบล็อกของตัวเอง

ก่อนนอน ฉันน่าจะบันทึกบางสิ่งที่รู้สึกสำหรับคำคืนนี้สักหน่อย

ตามประสาคนชอบเขียนไม่ชอบบ่น

คืนนี้...ขอพรคุณพระ ให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ของฉัน

ฝันดีกันทุกคนนะคะ

Miss you my friends.

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เช้าวันใหม่...แล้วล่ะหรือ ?

วันหยุดวันที่สองของฉันหมดลงไปแล้วอย่างรวดเร็ว

และกำลังเริ่มต้นเข้าสู่วันที่สามไปทุกขณะ

ฉันยังนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิม...

คือหน้าคอม

ฉันไม่ได้นั่งเล่นบล็อกยืดเยื้อไม่รู้จักหลับจากนอนหรอกนะ

เพียงก็แค่เปิดเจ้าคอมไว้เป็นเพื่อน

ส่วนตัวเองก็ยกขาพาด cpu แก้เมื่อย

แล้วก็นั่งอ่านหนังสือจนเวลาล่วงเลยมาป่านนี้

จำได้ว่า...ฉันเคยบอกเล่าไว้ที่ไหนสักแห่ง

ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือ

เวลาไปไหนมาไหน ฉันมักต้องมีหนังสือหนีบติดมือไปด้วยทุกครั้ง

ขนาดว่ารอเด็กปั๊มเติมน้ำมัน ฉันก็ยังงัดวรรณกรรมอะไรมาอ่านได้

นิด ๆ หน่อย ๆ ฉันก็เอา...ความที่ฉันเป็นคนขี้เบื่อ

นั่งกลอกตาไปมาโดยไม่มีอะไรทำ...คงไม่ใช่ฉันแน่





บางส่วนของหนังสือบอกไว้ว่า...

ต่อให้สูญเสียทุกอย่างไปจนหมด

เราก็ยังใช้ชีวิตอยู่ได้

และพร้อมเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

แต่ถ้าความศรัทธาหายไป

ทุกอย่างจะถึงทางตันทันที

การดึงความรักความศรัทธา

กลับมาจากคนรอบข้าง ถึงจะทำได้ยาก

แต่ก็ยังไม่ยากเท่ากับการดึงศรัทธาที่หายไปของตัวเอง

ให้คืนกลับมา

...
...


ฉันไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด

แต่ก็ไม่ขอคอมเมนท์บางส่วนในความรู้สึกฉันลงไว้ ณ ที่นี่

...
...

หนังสือยังคงกล่าวอีกว่า

เมื่อไหร่ที่คนเราหมดศรัทธาตัวเอง

เรามักจะมองตัวเองไร้ค่าในเวลาที่ล้มเหลว

พอเห็นว่าตัวเองไม่มีค่าแล้ว

ก็หมดกำลังใจที่จะเริ่มต้นใหม่

เพราะคนที่ไม่ศรัทธาแม้แต่ตัวเอง

ก้ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก

คนที่หมดลมหายใจแล้ว

...
...

เหตุผลของการไม่มีคอมเมนท์เป็นตัวอักษร

เพราะฉันติดตามงานเขียนแนว ๆ นี้จากหลาย ๆ ผู้แต่ง

ฉันไม่แน่ใจว่าทุกคนผ่านประสบการณ์มาหมด

แล้วเอามาเขียน หรือเขียนเพราะเขาเป็นมืออาชีพที่จะเขียน

...
...

แต่สำหรับฉัน คนที่เคยผ่านปัญหาชีวิตครอบครัวมาในระดับหนึ่ง

วิธีการแก้ช่างต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง

บางที...ถ้าคนเขียนได้ลงไปอยู่ในปัญหา

คุณอาจพบว่าสิ่งที่คุณเขียน มันเยียวยาอะไรไม่ได้เลย

วินาทีนั้น...คุณอาจสะกดคำว่าศรัทธาไม่ออกด้วยซ้ำไป

ฉันว่ามีสิ่งหนึ่งที่ฉุดสติคนเรากลับมาได้

เฮ้อ!...

นี่ฉันคงอินกับสิ่งที่อ่านมากเกินไปอีกแล้ว

ราตรีนี้น่าจะปิดฉากลงซักที

ฝันดีนะเพื่อนที่ฉันรู้จักทุกคน

โดยเฉพาะคุณ...ขอให้ฝันดีกว่าใคร ๆ



โดย....เรา

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ใต้ฟ้ากว้าง...ในวันฝนตก




วันนี้ฉันไปถึงร้านค่อนข้างสาย

ทำให้อะไร ๆ ก็สายไปหมด

ตั้งแต่เตรียมของ จัดร้าน ไปจนกระทั่งเริ่มต้นขาย

เพราะวันนี้เป็นวันที่ฟ้าสีครึ้ม

ลูกค้าที่สัญจรไปมาก็ห่วงแต่จะกลับบ้าน

เพราะกลัวไม่ทันฝน

ฉันนั่งมองความเร่งรีบของผู้คน...ที่โดดขึ้นลงรถทัวร์เป็นว่าเล่น

แล้วพากันซอยเท้าเร็ว ๆ ไปที่คิวรถสองแถว

เพื่อต่อรถไปยังที่หมายของพวกเขา

ฉันมองเลยไปยังเวิ้งฟ้า

อดถอนใจไม่ได้...

ฝนตกแบบนี้ ข้าวของคงขายกันไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่

แต่แล้วที่เวิ้งฟ้ากว้างก็มีภาพที่พอจะทำให้ฉันอมยิ้มได้




ฉันเห็นเค้า...เสียดายที่ไม่มีกล้องติดไปเลย

เอาน่ะ...ฉันยังเหลือ N 70 ที่พอแก้ขัดได้อีกเครื่อง

แล้วฉันก็ได้รูปเค้าสมใจในความสลัวลาง

นานแล้วที่ไม่ได้เห็นจะ ๆ

เก็บรูปไว้เป็นที่ระลึกได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว

...
...

เจ้าลูกชายตัวเล็กของฉันหลับใหลไปเพราะพิษไข้

ถ้าเค้าตื่น...เราสองคนคงช่วยกันตื่นเต้นเสียงขรม

เพราะน้องตะวันเคยเรียกเรนโบว์...เรนโบว์...แต่ในรูปภาพ

ปรากฎการณ์บนท้องฟ้าแบบนี้ เขายังไม่เคยเห็นซักที

...
...


ฉันนั่งเก็บรูปเค้าได้ไม่นานเค้าก็จางหายไป

เมื่อแดดสุดท้ายลับลาจากโค้งฟ้า

ความมืดครึ้มเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่

ตลาดโต้รุ่งยามพระอาทิตย์ตกดินเงียบผิดหูผิดตา



ฉันไม่เคยเก็บภาพสถานที่แห่งนี้ไว้เลย

แม้ฉันจะดำเนินชีวิตเรียบเรื่อยอยู่ ณ. ที่นี่เนิ่นนาน

อาจเพราะข่าวที่ได้ยินได้ฟังมาก็ได้ ว่าอีกไม่นาน

กรมทางจะมายึดพื้นที่นี้คืน ตลาดก็ต้องมีการขยับขยายไปสู่ที่ใหม่

มันทำให้มือฉันคลิก ๆ ๆ ๆ ๆ เก็บภาพไปเรื่อยเปื่อย

ไม่มีความรู้สึกอะไรมากนักกับสถานที่แห่งนี้

หรือแม้แต่จังหวัดนี้ที่ฉันดั้นด้นอยู่มาเกือบสิบปี

อาจจะประสบการณ์ชีวิตที่นี่ ทำให้ภาพรอบ ๆ ตัว

ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไรน่าจดจำก็เป็นได้

ฉันเองก็สรุปไม่ได้เหมือนกัน



บันทึกไว้เป็นความทรงจำ
โดย...naitontan



วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บ่ายวันอังคาร











เมื่อยามสาย...เราได้ภาพนี้มาเพราะความเหงา

ตอนที่เอาเจ้าต้นนี้มาปลูกที่ริมระเบียงหน้าบ้าน

ไม่เคยจะรู้มาก่อน ว่าเค้ามีความเป็นมายังไง

ก็แค่รู้จักเค้าว่า "โมก"

ตอนนั้นมัวแต่เห่อเหิมกับการจัดสวนหน้าบ้าน

ไปเดินท่อม ๆ ดูต้นไม้ใบหญ้าอะไรสวย ก็ขนซื้อมาปลูก

เป็นคนไม่ค่อยชอบปลูก แต่ถ้าได้ลงมือปลูก

ก็นิสัยเสียอยากเห็นมันออกดอกออกผลให้ชื่นใจ

เลยต้องมานั่งศึกษา

เลยต้องมาทำความรู้จัก

เลยต้องมารู้ความเป็นมาของเค้า

เพราะนั่น...จะทำให้เราดูแลเค้าได้ถูกวิธี

เค้าทำให้เรารู้ว่า...

บางคนก็เรียกเค้าว่า "พุทธรักษา"

เพราะว่า คนโบราณเชื่อกันว่า

ต้นโมกนั้น สามารถปกป้องคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของ

ให้ปลอดภัยจากศัตรู หรือสิ่งชั่วร้าย

เราทำความรู้จักเค้าจนรู้ว่า

โมก หรือ โมกข หมายถึง ผู้ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

ดังนั้น คนโบราณจึงเชื่อว่า หากปลูกต้นโมกเอาไว้ภายในบ้าน

ก็จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์สะอาด มีแต่ความสุขกายสุขใจ

ปลอดภัย และรอดพ้นจากสิ่งอันจะนำความทุกข์ร้อนมาสู่คนในครอบครัว

...
...


เค้าว่าการจะปลูกโมกนั้น

ควรลงมือปลูกต้นโมกในวันเสาร์ เพราะคนโบราณเชื่อว่า

ต้นไม้ที่ปลูกเพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคลให้แก่บ้าน

ควรจะปลูกในวันเสาร์ ต้นไม้จึงจะเจริญงอกงาม

และมีอิทธิฤทธิ์ตามคุณของไม้

ซึ่งจะช่วยปกป้องคุ้มครองคุณและครอบครัวได้

หากต้องการปลูกต้นโมก

เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองบ้านเรือน และคนในครอบครัว

คุณควรจะปลูกต้นโมก ไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จึงจะเหมาะ

...
...

แต่เราก็ไม่ได้ปฏิบัติตามที่เค้าว่าหรอกนะ

อาจจะเพราะความดื้อ ดันทุรัง หรือขี้เกียจก็ว่ากันไป

ซื้อมาก็เล็งล่ะ ตรงนี้ ตรงนั้น ตามใจฉันนั่นประไร

จนวันนี้ก็ 4 ปีแล้ว ที่เรามีโมกหอม ๆ ไว้ดอมดม

มีดอกเล็ก ๆ สีขาวนวลให้ชื่นชมในวันที่เหงา ๆ

ก็เหมือนวันนี้...

ในราวบ่ายฝนปรอยลงมาบางเบา

และเราฝังตัวอยู่ที่ริมระเบียง นั่งมองหยดน้ำใส ๆ บนใบโมก

ภาพธรรมชาติ ที่ไม่มีอะไร...แต่ก็งดงามยามที่ได้มอง



โดย...เรา คนขี้เหงา